มันเป็นเรื่องราวของผมกับผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงที่มีความรักอันบริสุทธิ์ต่อผม
ผู้หญิงซึ่งสั่งสอนผมในทุกๆเรื่อง
สอนจากที่ผมไม่รู้จักโลก
ให้เป็นคนที่ทำอะไรเองเป็น
ผู้หญิงที่มอบความรักทั้งหมดทั้งสิ้นให้แก่ผม
แต่ไม่ได้คาดหวังการตอบแทนใดๆจากผมเลย
ผู้หญิงที่รอจากปลอบโยนเมื่อผมล้มเหลว
และรอจะยิ้มอยู่ข้างหลัง ในวันที่ผมเข้าสู่เส้นชัยแห่งชีวิต
ผุ้หญิงที่มองตาผม
ตั้งแต่วันแรก...
ที่ผมลืมตา
สายตาจับแต่จ้องมองตาลูก
ปวดกระดูกร้าวล้าจนตาแข็ง
ทุบระทมองค์ระทวยเพราะทนแรง
นํ้าสีแดงซ่านกระเซ็นเป็นพยาน
จึงก่อเกิดเด็กน้อยตาดูโลก
เสียงร้องโอด-โอยหาอากาศสาร
มารดาห่วงลูกน้อยเจ็บทรมาน
ลืมร่างตนที่ร้าวรานเมื่อนาที
มือนั้นโอบปากจูบลูกสุดรัก
ลูกรู้จักความอบอุ่น ณ ตอนนี้
นํ้าตานองไหลพรากหลากนที
เพราะสุขศรีที่ลูกตนครบสมบูรณ์
----------
ในแววตามองมาหาเด็กน้อย
เจ้าตัวจ้อยวิ่งปรี่ไปทางนู้น
กล่องดินสอไม้บรรทัดเขียนสูตรคูณ
แม่ใส่พูนในกระเป๋าให้เข้าเรียน
ในวิบากการเรียนการศึกษา
มีมารดาสอนสั่งให้อ่านเขียน
ติวข้อสอบให้ตัวน้อยไม่เคยเปลี่ยน
ให้ท่องตอบสอบเขียนไม่เคยเว้น
ยามเจ็บปวดเจ็บไข้เราได้ยาก
แม่ไม่เคยห่างจากยามทุกข์เข็ญ
หนึ่งผุ้หญิงหนึ่งผ้าผืนชุบนํ้าเย็น
แม่เช็ดให้จนเห็นสะอาดตัว
ยามจะฝึกขับรถเป็นครั้งแรก
แม่ทำแปลกให้เราขับกลางฟ้ารั่ว
ฝนกระเซ็นฟ้ากระซัดเราแสนกลัว
ใจก็เต้นระรัวยากขับไป
แม่ตั้งใจให้กล้าลองเป็นฝึกหัด
เห็นไม่ชัดก็ต้องขับไปให้ได้
มีแม่เองคอยประคองอยู่ข้างกาย
ผ่านวันได้ เราก็จึงขับรถเป็น
วันวานผ่านเราได้งาน, ปริญญา
โอ้มารดาชื่นอก-ใจร่มเย็น
ลูกของแม่เรียนจบแม่ตื่นเต้น
ลูกแม่เป็นผู้ตรวจสอบฯแม่สุขใจ
---
ณ วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ
สมควรเป็นวันประกาศคุณค่าใหญ่
ยํ้ายืนยันจะรักแม่ตลอดไป
เหมือนที่แม่อยู่ในใจตลอดมา
อยากบอกแม่จงเพลาการเหน็ดเหนื่อย
กลัวปวดเมื่อยทรมานร่างอ่อนล้า
เมื่อการงานพาแม่เจอคนนานา
ขอแม่อย่าเอาปัญหามาเป็นทุกข์ใจ
นอกจากนี้แม่ต้องรักสุขภาพ
ให้ชีวิตเรียบราบเป็นสุกใส
บำรุงกายพร้อมรักษาบำรุงใจ
บริสุทธิ์สุขสบายไร้กังวล
ณ วันนี้เป็นวันฉันยืนได้
มีเงินทองพอไหวไม่ขัดสน
สาบานว่าวันหนึ่งเลี้ยงมารดาตน
ให้แสนสมแม่เลี้ยงฉันอย่างภาคภูมิ
ผู้หญิงคนนั้นคือ "คุณแม่" ของผมครับ
ผู้หญิงที่คืนนี้ผมจะกราบเท้าท่าน
หลังจากที่ท่านอ่านกลอนใน Blog นี้จบ
แล้วผมจะบอกท่านว่า
รักท่านมากๆครับ
วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2550
คุณค่าแห่งร่มไม้ (Great Flora's Virtue)
เนื่องในวันแม่ ผมได้มีโอกาสกลับไปดูบทกลอนเก่าๆที่เคยเขียนให้กับท่าน
หลังจากค้นหาโดยใช้เวลาสักพัก ก็พบกับบทกลอนกาพย์ยานี ๑๑ ซึ่งชอบแต่งมากตอนเด็กๆ เพราะแต่ได้ง่าย และจดจำได้ง่าย
ตอนนั้นให้โจทย์กับตัวเองว่า จะแต่งกลอนถึงพระคุณแม่ได้อย่างไร โดยไม่ใช้คำว่า "แม่" เลยในบทกลอน (มาใช้อีกทีตอนวรรคส่ง วรรคสุดท้าย)
บทกลอนนี้สั้น และไร้ชื่อ
ผมจึงตั้งชื่อให้มัน ว่า"คุณค่าแห่งร่มไม้"
รักคุณแม่เสมอครับ
ผลน้อยเกาะก้านต้น
สถิตบนกิ่งโพธิ์ใหญ่
ไม้เลี้ยงผลก้านใบ
ให้เติบใหญ่เป็นต้นดี
ไม้หยั่งรากลงดิน
สูบแหวกหินช้านานปี
เพื่อหาอาหารดี
มาเลี้ยงผลให้วิไล
ผลเพียงสถิตนิ่ง
ไม้แผ่กิ่งให้อาศัย
ไม่ให้แดดแทงไช
ไม่ให้ลมซัดทำลาย
เมื่อถึงวันเวลา
ผลอยู่มาต้องจากไป
ลงดินบนถิ่นใด
เป็นต้นได้ระลึกมั่น
คุณร่มต้นไม้ใหญ่
ให้ลูกได้ทุกสิ่งสรรพ์
แต่เกิดจนตั้งยัน
พระคุณแม่ช่างงดงาม
หลังจากค้นหาโดยใช้เวลาสักพัก ก็พบกับบทกลอนกาพย์ยานี ๑๑ ซึ่งชอบแต่งมากตอนเด็กๆ เพราะแต่ได้ง่าย และจดจำได้ง่าย
ตอนนั้นให้โจทย์กับตัวเองว่า จะแต่งกลอนถึงพระคุณแม่ได้อย่างไร โดยไม่ใช้คำว่า "แม่" เลยในบทกลอน (มาใช้อีกทีตอนวรรคส่ง วรรคสุดท้าย)
บทกลอนนี้สั้น และไร้ชื่อ
ผมจึงตั้งชื่อให้มัน ว่า"คุณค่าแห่งร่มไม้"
รักคุณแม่เสมอครับ
ผลน้อยเกาะก้านต้น
สถิตบนกิ่งโพธิ์ใหญ่
ไม้เลี้ยงผลก้านใบ
ให้เติบใหญ่เป็นต้นดี
ไม้หยั่งรากลงดิน
สูบแหวกหินช้านานปี
เพื่อหาอาหารดี
มาเลี้ยงผลให้วิไล
ผลเพียงสถิตนิ่ง
ไม้แผ่กิ่งให้อาศัย
ไม่ให้แดดแทงไช
ไม่ให้ลมซัดทำลาย
เมื่อถึงวันเวลา
ผลอยู่มาต้องจากไป
ลงดินบนถิ่นใด
เป็นต้นได้ระลึกมั่น
คุณร่มต้นไม้ใหญ่
ให้ลูกได้ทุกสิ่งสรรพ์
แต่เกิดจนตั้งยัน
พระคุณแม่ช่างงดงาม
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2550
กล้วยไม้ไร้ดิน (The Soilless Orchid)
ณ ที่นี้เป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งบนถนนสายหลักแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ พนักงานเงินเสิร์ฟทำงานอย่างหนักเพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาในเย็นวันอาทิตย์อย่างเนืองแน่น
“ขอข้าวเพิ่มอีกจานนึงสิ” เสียงของหญิงชราคนหนึ่งกล่าวต่อพนักงานเสิร์ฟ
“อะไรเนี่ย!!” เสียงตะหวาดจากชายวัยกลางคนที่นั่งข้างๆเธอดังขึ้น “ไม่ต้องๆ พอแล้วเก็บเงินเลย”
เด็กสาวตัวน้อยตาบ้องแบ้วมองชายคนนั้น และหญิงชราอย่างมึนงง “พ่อว่าย่าทำไม?”
มือข้างๆเด็กน้อยแตะมาบนไหล่ของเธอ เป็นมือของผู้หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง “เรื่องของผู้ใหญ่น่ะลูก เรายังเด็ก อย่าไปสนใจอะไรเลย”
เด็กน้อยเงียบ
หญิงชราเงียบ
ชายวัยกลางคนจ่ายเงิน
พ่อแม่ลูก และย่าชรา เดินออกจากร้านนั้นไป
ณ บ้านหลังน้อยในกลางทุ่งนา
ผู้คนมากมาย
ชาวบ้านมากมาย
ทุกคนต่างรายล้อมหญิงชาวนาที่กำลังจะคลอดลูกออกมา
หญิงวัยกลางคนกรีดร้องจนสุดชีวิต
นํ้าตาไหลพรากนองหน้าของหล่อน กรามนั่นขบกันแน่น
เหงื่อไหลท่วมตัว แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับเลือดที่นองพื้นบ้านไม้หลังนั้น
“เด็กคลอดแล้ว!!” เสียงชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาด้วยความยินดี ชาวบ้านที่เหลือพากันเฮลั่น
หมอตำแยตัดสายรก แล้วเช็ดตัวให้ทารกน้อย
หมอชรามอบทารกน้อยสู่อ้อมกอดของผู้ให้กำเนิด
มือนั่นกอดลูกของตน นํ้าตาไหลพรากยิ่งกว่าเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่นํ้าตาแห่งความเจ็บปวด แต่เป็นนํ้าตาแห่งความปลื้มปิติ ริมฝีปากของหล่อนจรดลงบนหน้าผากของลูก
เด็กชายที่ ณ ตอนนี้ เป็นประหนึ่งดวงใจของเธอ
“ผมไม่รู้จะทำยังไงดี แม่แก่แล้วไม่ฟังอะไรเลย แล้วดูสิ ร้านอาหารคนเยอะแยะ มาสั่งข้าวเปล่าเพิ่ม กับข้าวก็ไม่เหลือแล้ว หิวก็บอกกันก่อน อย่างงี้คนเค้าก็มองกันสิว่าเรามันยากจนนักหนา ชอบทำตัวแบบนี้อยู่เรื่อยเลย”
“โธ่คุณคะ ไม่เอาน่า แม่คุณอาจจะอยู่บ้านนอกมานาน เลยพูดอะไรแบบนั้น คุณคิดดูสิ อยู่บ้านนอกมาทั้งชีวิต เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในเมือง แถมแก่แล้ว ไม้แก่ดัดยาก”
ผู้เป็นภรรยาปลอบใจสามีที่เริ่มประโยคสนทนาดังกล่าว
ชายวัยกลางคนนั่งเงียบนิ่งอยู่สักพัก
พลันเขาก็ถอนหายใจ และกล่าวว่า
“ผมจะเอาแม่เข้าบ้านพักคนชรา”
“คุณแน่ใจเหรอคะ”
“แน่ใจสิ มันเป็นที่ที่คนแก่ๆน่าจะมีความสุขได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปติดต่อที่นั่น”
เธออุ้มลูกของเธออย่างอบอุ่น
ทารกน้อยดูดนมของแม่
“เออ นี่ ยายแม้น เอ็งจะตั้งชื่อลูกเอ็งว่าอะไร” ยายของทารก ถามลูกของตน
“ชื่อ กานต์ จ้ะแม่ กานต์แปลว่า “เป็นที่รัก” ฉันว่าชื่อนี้ความหมายดี แถมยังเพราะ เวลาโตขึ้นไปลูกจะได้ไม่ต้องอายใครเค้า ต่อไปอาจจะต้องเข้าเมืองกรุงจะได้ยืดได้” ทองแม้น ตอบแม่ของหล่อน พร้อมกับอมยิ้ม
ฟังดูอาจมองว่าเป็นมุกน่ารักๆของหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง
แต่สำหรับทองแม้น
เธอคิดเช่นนี้จริงๆ
ลูกของเธอจะต้องเติบโต อย่างไม่อายใคร
“คุณกานต์แน่ใจกับเรื่องนี้แล้วเหรอครับ”
ผู้อำนวยการบ้านพักคนชราถามชายวัยกลางคน
“แน่นอนครับ ผมว่าแม่น่าจะมีความสุขกับที่นี่”
“อย่างนั้นผมขอให้คุณเซ็นใบรับรองให้คุณแม่ของคุณอยู่ที่นี่นะครับ นี่ครับเอกสาร”
กานต์ จรดปากกาเซ็นชื่อของตัวเองลงไป
เขายอมรับให้บ้านพักคนชราดูแลแม่ของเขา
เขาคิดว่ามันเป็นความคิดที่ถูกต้อง
แม่แก่เกินไปแล้วกับสังคมยุคปัจจุบัน
กานต์ขับรถกลับบ้าน
ภรรยาสุดที่รักกับลูกรอเขาอยู่ในบ้านแล้ว
แม่ของเขาก็เช่นกัน
กานต์นั่งบนโต้ะอาหารพร้อมกับครอบครัว
แม่ของเขาก้มหยิบกระโถนเพื่อบ้วนนํ้าหมากสีแดง
“นี่อะไรกันแม่ !! ผมบอกกี่ทีแล้วให้แม่เลิกกินไอ้หมากนี่”
ลูกของทองแม้นตะโกนลั่น
“โธ่ลูก แม่แก่แล้ว แม่เลิกไม่ได้หรอก ลูกต้องเข้าใจ…”
“ไม่ต้องแล้ว พอกันที!! ดีนะที่ผมติดต่อบ้านพักคนชราไว้แล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายของแม่ที่นี่”
กานต์ตะคอกอีกที
ทองแม้นนิ่งค้าง
สายตาแสดงความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกชายคนเดียวของเธอพูดเช่นนั้น
ปากไม่แสดงอาการใดๆ
ตัวก็นิ่ง
เธอไม่มีอะไรที่จะต้องพูดหรือแสดงออก
เด็กน้อยเข้าโรงเรียนแล้ว
แม่แม้นมาส่งลูกของหล่อนที่โรงเรียนทุกวัน
ชาวบ้านบอกว่าเธอรักลูกของเธอมากเกินกว่าใครๆ
บ้างว่าเธอบ้าเห่อลูกที่เกิดมานานเกินไปหน่อย
จะอะไรก็ช่างเถอะ
แม้นดีใจที่มีชีวิตเช่นนี้
วันหนึ่งกานต์ลูกน้อยวิ่งร้องไห้เข้ามากอดแม่
“กานต์เป็นอะไรเหรอลูก” แม่ของเด็กน้อยถาม
“เพื่อนเค้าล้อหนูว่าไม่มีพ่อ หือหือ เค้าว่าต่อไปกานต์จะแย่ จะเป็นเด็กมีปัญหา” กานต์ร้องไห้ด้วยความชํ้าใจ
พ่อของกานต์เป็นทหารหาญที่ต้องออกไปรบที่ชายแดนก่อนกานต์เกิด 2 เดือน
แล้วไม่กลับมาอีกเลย
วันที่แม้นทราบข่าวสามีของหล่อน
หล่อนแทบทนไม่ได้
แต่หล่อนไม่ร้องไห้ออกมา
ทองแม้นกลัวว่าลูกในท้องของเธอจะรับรู้ถึงความโศกเศร้าไปด้วย
หล่อนพยายามไม่คิดถึงเขา ทั้งๆที่รักเขามาก
ลูกจะต้องไม่รู้สึกสูญเสียใดใด
มือนั่นลูบหัวเด็กน้อย
“กานต์มองดูต้นกล้วยไม้นั่นสิลูก” นิ้วชี้ขวาของแม่ชี้ไปที่ต้นกล้วยไม้นั้น
“ลูกว่ามันเป็นยังไง?”
“มันสวยจังเลยจ้ะแม่”
“อืม แล้วลูกรู้อะไรมั้ย ว่าตอนเด็กๆต้นไม้ต้นนี้เคยถูกเพื่อนๆต้นไม้ต้นอื่นๆล้อว่าอะไร”
“มันเคยถูกล้อด้วยเหรอจ้ะแม่ ล้อว่าอะไร หนูเดาไม่ถูกหรอก”
มือนั่นตบลงบนหัวเด็กน้อยเบาๆ
“มันเคยถูกล้อว่า ต้นไม่อะไรไม่มีดินจะอยู่ ไม่เหมือนต้นอื่นๆ อย่างงี้จะโตมาได้ดีได้อย่างไร”
“แต่มันก็สวยกว่าต้นอื่นนี่จ้ะแม่”
“ก็เพราะมันเป็นต้นไม้ที่ดี มันได้นํ้าที่ดี มันได้แสงที่ดี มันก็เลยมีดอกที่สวยงามไงจ้ะ”
ทองแม้คุกเข่าลงต่อหน้าเด็กชาย
แล้วร่างของแม่ก็โอบกอดลูกน้อย
"“นี่แหละจ้ะ มันไม่ได้สำคัญหรอกว่าลูกจะมีอะไรที่ครบหรือขาดจากคนอื่นๆ สิ่งสำคัญคือสิ่งที่ลูกมีนั้นดีพอที่จะทำให้ลูกเติบโตมาได้ดีรึเปล่า กานต์ยังมีแม่นะ แม่จะดูแลกานต์ให้ดีที่สุดเองจ้ะ"
เด็กน้อยสบายใจแล้ว
อย่างน้อยเขาก็มีแม่
แม่ที่เป็นทั้งพ่อและแม่
กานต์วิ่งกลับไปเล่นกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง
แม้นมองดูลูกของเธออยู่ห่างๆ
ต่อหน้าลูกเธอไม่เคยมีนํ้าตา
เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุข
เธอต้องทำได้
นํ้าตานั้นซึมตรงขอบตา
นํ้าตาที่ลูกของเธอไม่มีวันได้เห็น
ไม่มีวันเห็นนํ้าตาของเธอ
แม้นแอบร้องไห้อยู่ในห้องนอนเล็กๆชั้นล่างของบ้าน
เธอกำลังจะต้องถูกส่งไปบ้านพักคนชรา
เธอไม่ได้น้อยใจโชคชะตา
เธอเข้าใจดีถึงความโชคร้าย และโลกที่ขมขื่นในวันที่สามีของเธอตาย
เธอแค่ไม่เข้าใจ
ว่าทำไมกานต์ถึงทำอย่างนั้น
เช้าแล้ว
เช้านี้แม้นไม่ได้ตื่นนอนด้วยตัวเอง
เธอตื่นเพราะเสียงเคาะประตูห้องของเธอ
“แม่ เก็บของรึยัง แม่ต้องไปแล้ว!!”
นํ้าตาจะไหลพรากอีกครั้ง
แต่แม้นกลั้นมันไว้
หญิงชราเก็บของใส่กระเป๋าใบเล็กๆของหล่อน
กระเป๋าที่ใบเดิม
ใบเดียวกับวันที่เธอเข้ากรุงเทพฯครั้งแรก
“อะไรกัน ยายแม้น เอ็งจะเข้ากรุงเทพฯเหรอ!!”
ผู้ใหญ่บ้านถามหญิงชาวนาด้วยความตกใจ
“ใช่จ้ะพ่อผู้ใหญ่ ฉันไม่เหลืออะไรที่นี่แล้ว สามีก็ตายแล้ว พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว เจ้ากานต์เองก็มีงานมีการทำในเมืองกรุง เขาว่าเขาดูแลฉันได้”
“แต่แม้นเอ้ย เอ็งก็รู้ว่าในเมืองหลวงน่ะมันอันตราย ผู้คนหัวใจคับแคบ ระวังจะถูกปล้น ถูกโกงเอาล่ะ”
ผู้ใหญ่กล่าวด้วยความเป็นห่วง
“โธ่ พ่อผู้ใหญ่ ฉันไปหาเจ้ากานต์ลูกฉัน ถ้าฉันจะตกอับได้ก็เพราะเจ้ากานต์เท่านั้นเองล่ะจ้ะ แล้วพ่อผุ้ใหญ่คิดดู เจ้ากานต์มันเป็นลูกที่ดีจะตายไป มันจะมาเบียดเบียนอะไรฉันล่ะ”
“อือ ก็จริง เอ็งดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ แล้วนี่จะเดินทางเมื่อไหร่?”
“เย็นนี้ล่ะจ้ะพ่อผู้ใหญ่ นัดเจ้ากานต์ไว้แล้ว จะได้ถึงเร็วๆ ฉันลาล่ะจ้ะ
แม้นเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตโดยรถไฟชั้น 3 เพื่อไปหาลูกของเธอ
แม้นเดินทางอีกครั้งโดยรถเก็งคันสวย เพื่อไปจากลูกของเธอ
รถที่ขับโดยลูกของเธอ
นึกถึงคำพูดที่เคยพูดกับพ่อผู้ใหญ่ที่ว่า “ฉันจะตกอับได้ก็เพราะเจ้ากานต์เท่านั้นเองล่ะจ้ะ”
วันนั้นเธอมั่นใจว่าเธอจะไม่ตกอับ
แต่วันนี้เธอไม่มั่นใจ
ความจริงแล้วในใจแม้นก็พยายามจะคิดว่าลูกชายของหล่อนมีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้ แต่หล่อนก็ไม่สามารถหาคำตอบสำหรับคำถามนั้นได้เลยว่าเพราะอะไร
ใจหนึ่งก็พยายามจะเชื่อว่าเธอคือตัวปัญหา
อีกใจหนึ่งก็เศร้าใจ
ร่างนั้นเหม่อลอยอยู่ในรถของลูกชาย ที่ ณ วันนี้เป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน
“แม่เป็นอะไร จะไม่พูดไม่จาหน่อยเหรอ”
แม้นเงียบ ไม่มีคำตอบสำหรับประโยคนั้น
“ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด เดี๋ยวแม่ก็จะได้เจอเพื่อนมากมาย แม่จะได้มีความสุขซะที”
รถนั่นส่งถึงหน้าบ้านพักคนชรา
พยาบาลสาวมารอรับแม่ผู้ชรา
พยาบาลเดินพยุงแม้นเข้าไป
เธอห่างจากลูกชายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเข้าไปในอาคาร
เธออาจจะไม่มีวันได้เห็นหน้าของกานต์อีก
นํ้าตาไหลซึมอีกครั้ง
“คุณกานต์รอซักพักนะคะ เดี๋ยวฝ่ายการเงินจะออกบิลล์ให้ สำหรับค่าใช้จ่ายเดือนแรก และค่ามัดจำอีก 2 เดือน”
“อ๋อครับ ตกลงครับ อย่างงั้นผมขอออกไปเดินเล่นดูสวนของบ้านพักที่นี่หน่อยละกัน กลับมาก็คงพอดีกับบิลล์”
พนักงานสาวตอบรับคำ
กานต์เดินออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมนั่น
เบื้องหน้าของเขาเป็นสวยที่ดูสบายตา คนแก่ๆคงจะชอบสวนแบบนี้ ใครจะดูแลคนแก่ๆได้ดีเท่าหน่วยงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อดูแลพวกเขาโดยเฉพาะ
พลันก็เหลือบไปเห็นต้นกล้วยไม้ที่วางเรียงรายอยู่ริมสวน
คนสวนของบ้านพักคนชรากำลังรดนํ้ากล้วยไม้อย่างเอ็นดูทนุถนอม
“กล้วยไม้นี่ปลูกมานานรึยังครับ ดอกถึงได้สวยอย่างนี้”
“อ๋อครับ ปลูกมาหลายเดือนแล้วครับ ต้องหมั่นรดนํ้าทุกวัน กล้วยไม้นี่โตยากนะครับ มันไม่ได้รับแร่ธาตุจากดิน เราต้องประคบประหงมมันนาน กว่าที่มันออกดอกมาได้ขนาดนี้ เรียกว่าถ้าไม่รดนํ้าวันสองวันนี่ตายได้เลยนะคุณ”
กานต์นิ่ง อึ้ง และเหม่อลอย
“อ้าว คุณ เป็นอะไรไปครับ???” คนสวนถามด้วยความประหลาดใจ
กานต์ยังคงนิ่ง เหมือนคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น เขาก็ตบไหล่ของคนสวน
“น้อง พี่ขอบคุณมาก น้องทำให้พี่ระลึกถึงความทรงจำดีๆสมัยเด็กๆ ทำให้พี่รู้ตัวว่าพี่กำลังจะเผลอทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต”
กานต์วิ่งกลับเข้าไป ที่เคาน์เตอร์ ที่กำลังออกบิลล์ให้เขา
“อะไรเหรอคะ บิลล์ยังไม่เสร็จเลยค่ะ”
“ไม่ต้องแล้วครับ ผมยกเลิก เดี๋ยวผมจะชดเชยเงินมัดจำให้ คุณช่วยบอกพยาบาลให้พาแม่ของผมออกมาหน่อย ผมจะพาท่านกลับบ้าน”
พนักงานสาวงง แต่ก็ปฏิบัติตาม
พยาบาลพาทองแม้นออกมา ณ ที่เดิมที่รถส่งหล่อนลงมา
รถคันเดิมวิ่งมาหยุดที่ข้างหน้า
ชายคนเดิมลงมาจากรถ ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
หญิงชาวนาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงแล้ว
เบื้องหน้าบันไดรถไฟมีลูกชายของเธอยืนอยู่
เขาวิ่งเข้ามากอดแม่ของเขาด้วยความรัก
กานต์จะพาแม่ของเขาไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่
เขาก้าวลงมาจากรถเก๋งคันนั้น
วิ่งโผลเข้ามากอดแม่ของเขา
เข่าคู่นั่นทรุดลง
เขาก้มลงกราบเท้าของผู้เป็นมารดา
ไม่มีคำพูดใดๆ
กานต์จะพาแม่ของเขากลับไปที่บ้านหลังเดิม
“ขอข้าวเพิ่มอีกจานนึงสิ” เสียงของหญิงชราคนหนึ่งกล่าวต่อพนักงานเสิร์ฟ
“อะไรเนี่ย!!” เสียงตะหวาดจากชายวัยกลางคนที่นั่งข้างๆเธอดังขึ้น “ไม่ต้องๆ พอแล้วเก็บเงินเลย”
เด็กสาวตัวน้อยตาบ้องแบ้วมองชายคนนั้น และหญิงชราอย่างมึนงง “พ่อว่าย่าทำไม?”
มือข้างๆเด็กน้อยแตะมาบนไหล่ของเธอ เป็นมือของผู้หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง “เรื่องของผู้ใหญ่น่ะลูก เรายังเด็ก อย่าไปสนใจอะไรเลย”
เด็กน้อยเงียบ
หญิงชราเงียบ
ชายวัยกลางคนจ่ายเงิน
พ่อแม่ลูก และย่าชรา เดินออกจากร้านนั้นไป
ณ บ้านหลังน้อยในกลางทุ่งนา
ผู้คนมากมาย
ชาวบ้านมากมาย
ทุกคนต่างรายล้อมหญิงชาวนาที่กำลังจะคลอดลูกออกมา
หญิงวัยกลางคนกรีดร้องจนสุดชีวิต
นํ้าตาไหลพรากนองหน้าของหล่อน กรามนั่นขบกันแน่น
เหงื่อไหลท่วมตัว แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับเลือดที่นองพื้นบ้านไม้หลังนั้น
“เด็กคลอดแล้ว!!” เสียงชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาด้วยความยินดี ชาวบ้านที่เหลือพากันเฮลั่น
หมอตำแยตัดสายรก แล้วเช็ดตัวให้ทารกน้อย
หมอชรามอบทารกน้อยสู่อ้อมกอดของผู้ให้กำเนิด
มือนั่นกอดลูกของตน นํ้าตาไหลพรากยิ่งกว่าเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่นํ้าตาแห่งความเจ็บปวด แต่เป็นนํ้าตาแห่งความปลื้มปิติ ริมฝีปากของหล่อนจรดลงบนหน้าผากของลูก
เด็กชายที่ ณ ตอนนี้ เป็นประหนึ่งดวงใจของเธอ
“ผมไม่รู้จะทำยังไงดี แม่แก่แล้วไม่ฟังอะไรเลย แล้วดูสิ ร้านอาหารคนเยอะแยะ มาสั่งข้าวเปล่าเพิ่ม กับข้าวก็ไม่เหลือแล้ว หิวก็บอกกันก่อน อย่างงี้คนเค้าก็มองกันสิว่าเรามันยากจนนักหนา ชอบทำตัวแบบนี้อยู่เรื่อยเลย”
“โธ่คุณคะ ไม่เอาน่า แม่คุณอาจจะอยู่บ้านนอกมานาน เลยพูดอะไรแบบนั้น คุณคิดดูสิ อยู่บ้านนอกมาทั้งชีวิต เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในเมือง แถมแก่แล้ว ไม้แก่ดัดยาก”
ผู้เป็นภรรยาปลอบใจสามีที่เริ่มประโยคสนทนาดังกล่าว
ชายวัยกลางคนนั่งเงียบนิ่งอยู่สักพัก
พลันเขาก็ถอนหายใจ และกล่าวว่า
“ผมจะเอาแม่เข้าบ้านพักคนชรา”
“คุณแน่ใจเหรอคะ”
“แน่ใจสิ มันเป็นที่ที่คนแก่ๆน่าจะมีความสุขได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปติดต่อที่นั่น”
เธออุ้มลูกของเธออย่างอบอุ่น
ทารกน้อยดูดนมของแม่
“เออ นี่ ยายแม้น เอ็งจะตั้งชื่อลูกเอ็งว่าอะไร” ยายของทารก ถามลูกของตน
“ชื่อ กานต์ จ้ะแม่ กานต์แปลว่า “เป็นที่รัก” ฉันว่าชื่อนี้ความหมายดี แถมยังเพราะ เวลาโตขึ้นไปลูกจะได้ไม่ต้องอายใครเค้า ต่อไปอาจจะต้องเข้าเมืองกรุงจะได้ยืดได้” ทองแม้น ตอบแม่ของหล่อน พร้อมกับอมยิ้ม
ฟังดูอาจมองว่าเป็นมุกน่ารักๆของหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง
แต่สำหรับทองแม้น
เธอคิดเช่นนี้จริงๆ
ลูกของเธอจะต้องเติบโต อย่างไม่อายใคร
“คุณกานต์แน่ใจกับเรื่องนี้แล้วเหรอครับ”
ผู้อำนวยการบ้านพักคนชราถามชายวัยกลางคน
“แน่นอนครับ ผมว่าแม่น่าจะมีความสุขกับที่นี่”
“อย่างนั้นผมขอให้คุณเซ็นใบรับรองให้คุณแม่ของคุณอยู่ที่นี่นะครับ นี่ครับเอกสาร”
กานต์ จรดปากกาเซ็นชื่อของตัวเองลงไป
เขายอมรับให้บ้านพักคนชราดูแลแม่ของเขา
เขาคิดว่ามันเป็นความคิดที่ถูกต้อง
แม่แก่เกินไปแล้วกับสังคมยุคปัจจุบัน
กานต์ขับรถกลับบ้าน
ภรรยาสุดที่รักกับลูกรอเขาอยู่ในบ้านแล้ว
แม่ของเขาก็เช่นกัน
กานต์นั่งบนโต้ะอาหารพร้อมกับครอบครัว
แม่ของเขาก้มหยิบกระโถนเพื่อบ้วนนํ้าหมากสีแดง
“นี่อะไรกันแม่ !! ผมบอกกี่ทีแล้วให้แม่เลิกกินไอ้หมากนี่”
ลูกของทองแม้นตะโกนลั่น
“โธ่ลูก แม่แก่แล้ว แม่เลิกไม่ได้หรอก ลูกต้องเข้าใจ…”
“ไม่ต้องแล้ว พอกันที!! ดีนะที่ผมติดต่อบ้านพักคนชราไว้แล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายของแม่ที่นี่”
กานต์ตะคอกอีกที
ทองแม้นนิ่งค้าง
สายตาแสดงความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกชายคนเดียวของเธอพูดเช่นนั้น
ปากไม่แสดงอาการใดๆ
ตัวก็นิ่ง
เธอไม่มีอะไรที่จะต้องพูดหรือแสดงออก
เด็กน้อยเข้าโรงเรียนแล้ว
แม่แม้นมาส่งลูกของหล่อนที่โรงเรียนทุกวัน
ชาวบ้านบอกว่าเธอรักลูกของเธอมากเกินกว่าใครๆ
บ้างว่าเธอบ้าเห่อลูกที่เกิดมานานเกินไปหน่อย
จะอะไรก็ช่างเถอะ
แม้นดีใจที่มีชีวิตเช่นนี้
วันหนึ่งกานต์ลูกน้อยวิ่งร้องไห้เข้ามากอดแม่
“กานต์เป็นอะไรเหรอลูก” แม่ของเด็กน้อยถาม
“เพื่อนเค้าล้อหนูว่าไม่มีพ่อ หือหือ เค้าว่าต่อไปกานต์จะแย่ จะเป็นเด็กมีปัญหา” กานต์ร้องไห้ด้วยความชํ้าใจ
พ่อของกานต์เป็นทหารหาญที่ต้องออกไปรบที่ชายแดนก่อนกานต์เกิด 2 เดือน
แล้วไม่กลับมาอีกเลย
วันที่แม้นทราบข่าวสามีของหล่อน
หล่อนแทบทนไม่ได้
แต่หล่อนไม่ร้องไห้ออกมา
ทองแม้นกลัวว่าลูกในท้องของเธอจะรับรู้ถึงความโศกเศร้าไปด้วย
หล่อนพยายามไม่คิดถึงเขา ทั้งๆที่รักเขามาก
ลูกจะต้องไม่รู้สึกสูญเสียใดใด
มือนั่นลูบหัวเด็กน้อย
“กานต์มองดูต้นกล้วยไม้นั่นสิลูก” นิ้วชี้ขวาของแม่ชี้ไปที่ต้นกล้วยไม้นั้น
“ลูกว่ามันเป็นยังไง?”
“มันสวยจังเลยจ้ะแม่”
“อืม แล้วลูกรู้อะไรมั้ย ว่าตอนเด็กๆต้นไม้ต้นนี้เคยถูกเพื่อนๆต้นไม้ต้นอื่นๆล้อว่าอะไร”
“มันเคยถูกล้อด้วยเหรอจ้ะแม่ ล้อว่าอะไร หนูเดาไม่ถูกหรอก”
มือนั่นตบลงบนหัวเด็กน้อยเบาๆ
“มันเคยถูกล้อว่า ต้นไม่อะไรไม่มีดินจะอยู่ ไม่เหมือนต้นอื่นๆ อย่างงี้จะโตมาได้ดีได้อย่างไร”
“แต่มันก็สวยกว่าต้นอื่นนี่จ้ะแม่”
“ก็เพราะมันเป็นต้นไม้ที่ดี มันได้นํ้าที่ดี มันได้แสงที่ดี มันก็เลยมีดอกที่สวยงามไงจ้ะ”
ทองแม้คุกเข่าลงต่อหน้าเด็กชาย
แล้วร่างของแม่ก็โอบกอดลูกน้อย
"“นี่แหละจ้ะ มันไม่ได้สำคัญหรอกว่าลูกจะมีอะไรที่ครบหรือขาดจากคนอื่นๆ สิ่งสำคัญคือสิ่งที่ลูกมีนั้นดีพอที่จะทำให้ลูกเติบโตมาได้ดีรึเปล่า กานต์ยังมีแม่นะ แม่จะดูแลกานต์ให้ดีที่สุดเองจ้ะ"
เด็กน้อยสบายใจแล้ว
อย่างน้อยเขาก็มีแม่
แม่ที่เป็นทั้งพ่อและแม่
กานต์วิ่งกลับไปเล่นกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง
แม้นมองดูลูกของเธออยู่ห่างๆ
ต่อหน้าลูกเธอไม่เคยมีนํ้าตา
เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุข
เธอต้องทำได้
นํ้าตานั้นซึมตรงขอบตา
นํ้าตาที่ลูกของเธอไม่มีวันได้เห็น
ไม่มีวันเห็นนํ้าตาของเธอ
แม้นแอบร้องไห้อยู่ในห้องนอนเล็กๆชั้นล่างของบ้าน
เธอกำลังจะต้องถูกส่งไปบ้านพักคนชรา
เธอไม่ได้น้อยใจโชคชะตา
เธอเข้าใจดีถึงความโชคร้าย และโลกที่ขมขื่นในวันที่สามีของเธอตาย
เธอแค่ไม่เข้าใจ
ว่าทำไมกานต์ถึงทำอย่างนั้น
เช้าแล้ว
เช้านี้แม้นไม่ได้ตื่นนอนด้วยตัวเอง
เธอตื่นเพราะเสียงเคาะประตูห้องของเธอ
“แม่ เก็บของรึยัง แม่ต้องไปแล้ว!!”
นํ้าตาจะไหลพรากอีกครั้ง
แต่แม้นกลั้นมันไว้
หญิงชราเก็บของใส่กระเป๋าใบเล็กๆของหล่อน
กระเป๋าที่ใบเดิม
ใบเดียวกับวันที่เธอเข้ากรุงเทพฯครั้งแรก
“อะไรกัน ยายแม้น เอ็งจะเข้ากรุงเทพฯเหรอ!!”
ผู้ใหญ่บ้านถามหญิงชาวนาด้วยความตกใจ
“ใช่จ้ะพ่อผู้ใหญ่ ฉันไม่เหลืออะไรที่นี่แล้ว สามีก็ตายแล้ว พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว เจ้ากานต์เองก็มีงานมีการทำในเมืองกรุง เขาว่าเขาดูแลฉันได้”
“แต่แม้นเอ้ย เอ็งก็รู้ว่าในเมืองหลวงน่ะมันอันตราย ผู้คนหัวใจคับแคบ ระวังจะถูกปล้น ถูกโกงเอาล่ะ”
ผู้ใหญ่กล่าวด้วยความเป็นห่วง
“โธ่ พ่อผู้ใหญ่ ฉันไปหาเจ้ากานต์ลูกฉัน ถ้าฉันจะตกอับได้ก็เพราะเจ้ากานต์เท่านั้นเองล่ะจ้ะ แล้วพ่อผุ้ใหญ่คิดดู เจ้ากานต์มันเป็นลูกที่ดีจะตายไป มันจะมาเบียดเบียนอะไรฉันล่ะ”
“อือ ก็จริง เอ็งดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ แล้วนี่จะเดินทางเมื่อไหร่?”
“เย็นนี้ล่ะจ้ะพ่อผู้ใหญ่ นัดเจ้ากานต์ไว้แล้ว จะได้ถึงเร็วๆ ฉันลาล่ะจ้ะ
แม้นเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตโดยรถไฟชั้น 3 เพื่อไปหาลูกของเธอ
แม้นเดินทางอีกครั้งโดยรถเก็งคันสวย เพื่อไปจากลูกของเธอ
รถที่ขับโดยลูกของเธอ
นึกถึงคำพูดที่เคยพูดกับพ่อผู้ใหญ่ที่ว่า “ฉันจะตกอับได้ก็เพราะเจ้ากานต์เท่านั้นเองล่ะจ้ะ”
วันนั้นเธอมั่นใจว่าเธอจะไม่ตกอับ
แต่วันนี้เธอไม่มั่นใจ
ความจริงแล้วในใจแม้นก็พยายามจะคิดว่าลูกชายของหล่อนมีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้ แต่หล่อนก็ไม่สามารถหาคำตอบสำหรับคำถามนั้นได้เลยว่าเพราะอะไร
ใจหนึ่งก็พยายามจะเชื่อว่าเธอคือตัวปัญหา
อีกใจหนึ่งก็เศร้าใจ
ร่างนั้นเหม่อลอยอยู่ในรถของลูกชาย ที่ ณ วันนี้เป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน
“แม่เป็นอะไร จะไม่พูดไม่จาหน่อยเหรอ”
แม้นเงียบ ไม่มีคำตอบสำหรับประโยคนั้น
“ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด เดี๋ยวแม่ก็จะได้เจอเพื่อนมากมาย แม่จะได้มีความสุขซะที”
รถนั่นส่งถึงหน้าบ้านพักคนชรา
พยาบาลสาวมารอรับแม่ผู้ชรา
พยาบาลเดินพยุงแม้นเข้าไป
เธอห่างจากลูกชายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเข้าไปในอาคาร
เธออาจจะไม่มีวันได้เห็นหน้าของกานต์อีก
นํ้าตาไหลซึมอีกครั้ง
“คุณกานต์รอซักพักนะคะ เดี๋ยวฝ่ายการเงินจะออกบิลล์ให้ สำหรับค่าใช้จ่ายเดือนแรก และค่ามัดจำอีก 2 เดือน”
“อ๋อครับ ตกลงครับ อย่างงั้นผมขอออกไปเดินเล่นดูสวนของบ้านพักที่นี่หน่อยละกัน กลับมาก็คงพอดีกับบิลล์”
พนักงานสาวตอบรับคำ
กานต์เดินออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมนั่น
เบื้องหน้าของเขาเป็นสวยที่ดูสบายตา คนแก่ๆคงจะชอบสวนแบบนี้ ใครจะดูแลคนแก่ๆได้ดีเท่าหน่วยงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อดูแลพวกเขาโดยเฉพาะ
พลันก็เหลือบไปเห็นต้นกล้วยไม้ที่วางเรียงรายอยู่ริมสวน
คนสวนของบ้านพักคนชรากำลังรดนํ้ากล้วยไม้อย่างเอ็นดูทนุถนอม
“กล้วยไม้นี่ปลูกมานานรึยังครับ ดอกถึงได้สวยอย่างนี้”
“อ๋อครับ ปลูกมาหลายเดือนแล้วครับ ต้องหมั่นรดนํ้าทุกวัน กล้วยไม้นี่โตยากนะครับ มันไม่ได้รับแร่ธาตุจากดิน เราต้องประคบประหงมมันนาน กว่าที่มันออกดอกมาได้ขนาดนี้ เรียกว่าถ้าไม่รดนํ้าวันสองวันนี่ตายได้เลยนะคุณ”
กานต์นิ่ง อึ้ง และเหม่อลอย
“อ้าว คุณ เป็นอะไรไปครับ???” คนสวนถามด้วยความประหลาดใจ
กานต์ยังคงนิ่ง เหมือนคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น เขาก็ตบไหล่ของคนสวน
“น้อง พี่ขอบคุณมาก น้องทำให้พี่ระลึกถึงความทรงจำดีๆสมัยเด็กๆ ทำให้พี่รู้ตัวว่าพี่กำลังจะเผลอทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต”
กานต์วิ่งกลับเข้าไป ที่เคาน์เตอร์ ที่กำลังออกบิลล์ให้เขา
“อะไรเหรอคะ บิลล์ยังไม่เสร็จเลยค่ะ”
“ไม่ต้องแล้วครับ ผมยกเลิก เดี๋ยวผมจะชดเชยเงินมัดจำให้ คุณช่วยบอกพยาบาลให้พาแม่ของผมออกมาหน่อย ผมจะพาท่านกลับบ้าน”
พนักงานสาวงง แต่ก็ปฏิบัติตาม
พยาบาลพาทองแม้นออกมา ณ ที่เดิมที่รถส่งหล่อนลงมา
รถคันเดิมวิ่งมาหยุดที่ข้างหน้า
ชายคนเดิมลงมาจากรถ ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
หญิงชาวนาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงแล้ว
เบื้องหน้าบันไดรถไฟมีลูกชายของเธอยืนอยู่
เขาวิ่งเข้ามากอดแม่ของเขาด้วยความรัก
กานต์จะพาแม่ของเขาไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่
เขาก้าวลงมาจากรถเก๋งคันนั้น
วิ่งโผลเข้ามากอดแม่ของเขา
เข่าคู่นั่นทรุดลง
เขาก้มลงกราบเท้าของผู้เป็นมารดา
ไม่มีคำพูดใดๆ
กานต์จะพาแม่ของเขากลับไปที่บ้านหลังเดิม
นิทานกระจอกน้อย (The Bird's Tale)
update อีกแล้วครับ...คราวนี้เป็นกลอนที่บอกเล่าเรื่องราวอันสู้ทนของนกกระจอกน้อยครับ เรื่องราวที่น่าปวดร้าว แต่กลับแฝงไปด้วยพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่....ใน "นิทานกระจอกน้อย" (The Bird's Tale)
P.S. เรื่องนี้เป็นกลอนแนวทดลองนะครับ คือตอนแรกอ่านตรงตัวอักษรสีเขียวกับสีดำ แล้วอาจจะยัง งงๆ ไม่อินกลับกลอน กลอนจะคลายความหมายตอนอ่านสีนําเงิน เป็นลักษณะการตัดช่วงเวลา เอาตอนท้ายมาวางก่อนตอนแรก ถ้าจะให้ซาบซึ้งพออ่านจบแล้ว ขอให้กลับไปอ่านตอนต้นใหม่ครับ :D
กระจอกน้อยโผผินเจ้าบินอยู่
มิบ่งรู้ว่าทำฉันใดหนอ
ปีกสะบัดผลัดกระพือมิรั้งรอ
กระดกคอตั้งมั่นทำอะไร
ฝ่าลมฝนฟ้าพิโรธที่โบกเข้า
ไม่ทำเจ้าท้อแท้สุดไฉน
อะไรฝังให้เจ้าแกร่งทั้งดวงใจ
ปีกก็กล้าบินสู้ไปในท้องฟ้า
โฉบปีกบินผินหาพฤกษาใหญ่
เมื่อพบเจอก็เข้าไปตรงกิ่งหนา
ผิวมันลื่นก็ฝืนเกาะกดบาทา
ตัวก็ล้าแต่ยังสู้จะหยัดยืน
ปากจิกปากตีนก้าวไปบนกิ่ง
ก้าวถึงขอบตัวก็นิ่งสุดจะฝืน
เล็บตีนจิกกัดลึกเพื่อตัวยืน
สุดกลํ้ากลืนนกน้อยช่างเหนื่อยล้า
คอชะเงยเห็นหนอนน้อยก็จกกัด
จะงอยปากกดรัดเจ้าหนอนหนา
ท้องก็สั่นหิวโซปวดอุรา
แต่เจ้ากลับไม่กล้ากินในที
กระจอกน้อยคาบหนอนไว้ตรงปาก
ปีกบินจากต้นไม้ใหญ่อย่างเร็วรี่
ตาแข็งตึงถลึงหาทางโน้นนี้
ปีกบินถี่เพื่อจะกลับคืนถิ่นฐาน
นกน้อยฝ่าลมพญามัจจุราช
ฟ้าพิฆาตนกน้อยใหญ่หลายสถาน
ปีกเริ่มช้ากลางนภายมบาล
เนื้อหนังกร้านเริ่มล้าจะหมดแรง
พลันตาเจ้ากลับนิ่งและแข็งทื่อ
ยากจะรู้พลังใดที่ใส่แฝง
เหมือนกับมีพลังเร้นเค้นสำแดง
ปีกสะบัดสู้แข่งกับนภา
ถึงต้นไม้เหี่ยวระแหนอยู่ต้นหนึ่ง
เจ้าก็บึ่งรี่ไปตรงกิ่งสา
เป็นรังน้อยที่เจ้าสร้างนานเวลา
ปากคาบหนอนอย่างผู้กล้าบินตรงไป
ณ ที่นั้นเป็นรังกระจอกน้อย
ปีกละห้อยตีนเกาะร้านบ้านเจ้าไซร้
พลันดวงตาเจ้าก็มองคล้อยลงไป
ก็เห็นได้ซึ่งลูกนกอยู่ในบ้าน
เสียงเจื้อยแจ้วลูกน้อยทั้งสามตัว
ร้องระรัวบ่งว่าหิวหาอาหาร
เจ้าก็ทิ้งหนอนน้อยให้ลูกทาน
ลูกสำราญเจ้าก็ยิ้มกริ่มยินดี
(เป็นเรื่องราวของชีวิตนกตัวน้อย
แต่เดิมคอยดูแลเลี้ยงลูกนี้
ผลัดเพียงวันต้นผลัดใบไร้อารีย์
จากเดิมที่เขียวขจีก็พลันหาย
ต้นมันแล้งยากจะหาอาหาร
ลูกก็ร่างเล็กน้อยยากเคลื่อนย้าย
แต่เด็กเอ๋ยหิวอาหารชีพจะวาย
ลมฟ้าก็โหมไซร้ไร้ใยดี
โอ้ว่านกตัวแม่หาทางออก
มองเมฆหมอกฟ้าฝนที่พ่นใส่
หากออกไปชีวิตอาจวอดวาย
แต่พอมองกลับไปในรังเจ้า
ก็เห็นลูกร้องโอยโหยอาหาร
จะสถานใดเล่าเจ้าจะขลาด
ตาเขม็งจิตคะนองอย่างองอาจ
รักษาชาติลูกน้อยให้อยู่คง
ปีกกระพือส่งเจ้าไปสู้ฟ้า
กระบังหน้าต้องสู้กับสายลม
แต่จิตใจยืนหยัดไม่ปลดปลง
สุดชื่นชมคุณค่ารักแห่งมารดา)
P.S. เรื่องนี้เป็นกลอนแนวทดลองนะครับ คือตอนแรกอ่านตรงตัวอักษรสีเขียวกับสีดำ แล้วอาจจะยัง งงๆ ไม่อินกลับกลอน กลอนจะคลายความหมายตอนอ่านสีนําเงิน เป็นลักษณะการตัดช่วงเวลา เอาตอนท้ายมาวางก่อนตอนแรก ถ้าจะให้ซาบซึ้งพออ่านจบแล้ว ขอให้กลับไปอ่านตอนต้นใหม่ครับ :D
กระจอกน้อยโผผินเจ้าบินอยู่
มิบ่งรู้ว่าทำฉันใดหนอ
ปีกสะบัดผลัดกระพือมิรั้งรอ
กระดกคอตั้งมั่นทำอะไร
ฝ่าลมฝนฟ้าพิโรธที่โบกเข้า
ไม่ทำเจ้าท้อแท้สุดไฉน
อะไรฝังให้เจ้าแกร่งทั้งดวงใจ
ปีกก็กล้าบินสู้ไปในท้องฟ้า
โฉบปีกบินผินหาพฤกษาใหญ่
เมื่อพบเจอก็เข้าไปตรงกิ่งหนา
ผิวมันลื่นก็ฝืนเกาะกดบาทา
ตัวก็ล้าแต่ยังสู้จะหยัดยืน
ปากจิกปากตีนก้าวไปบนกิ่ง
ก้าวถึงขอบตัวก็นิ่งสุดจะฝืน
เล็บตีนจิกกัดลึกเพื่อตัวยืน
สุดกลํ้ากลืนนกน้อยช่างเหนื่อยล้า
คอชะเงยเห็นหนอนน้อยก็จกกัด
จะงอยปากกดรัดเจ้าหนอนหนา
ท้องก็สั่นหิวโซปวดอุรา
แต่เจ้ากลับไม่กล้ากินในที
กระจอกน้อยคาบหนอนไว้ตรงปาก
ปีกบินจากต้นไม้ใหญ่อย่างเร็วรี่
ตาแข็งตึงถลึงหาทางโน้นนี้
ปีกบินถี่เพื่อจะกลับคืนถิ่นฐาน
นกน้อยฝ่าลมพญามัจจุราช
ฟ้าพิฆาตนกน้อยใหญ่หลายสถาน
ปีกเริ่มช้ากลางนภายมบาล
เนื้อหนังกร้านเริ่มล้าจะหมดแรง
พลันตาเจ้ากลับนิ่งและแข็งทื่อ
ยากจะรู้พลังใดที่ใส่แฝง
เหมือนกับมีพลังเร้นเค้นสำแดง
ปีกสะบัดสู้แข่งกับนภา
ถึงต้นไม้เหี่ยวระแหนอยู่ต้นหนึ่ง
เจ้าก็บึ่งรี่ไปตรงกิ่งสา
เป็นรังน้อยที่เจ้าสร้างนานเวลา
ปากคาบหนอนอย่างผู้กล้าบินตรงไป
ณ ที่นั้นเป็นรังกระจอกน้อย
ปีกละห้อยตีนเกาะร้านบ้านเจ้าไซร้
พลันดวงตาเจ้าก็มองคล้อยลงไป
ก็เห็นได้ซึ่งลูกนกอยู่ในบ้าน
เสียงเจื้อยแจ้วลูกน้อยทั้งสามตัว
ร้องระรัวบ่งว่าหิวหาอาหาร
เจ้าก็ทิ้งหนอนน้อยให้ลูกทาน
ลูกสำราญเจ้าก็ยิ้มกริ่มยินดี
(เป็นเรื่องราวของชีวิตนกตัวน้อย
แต่เดิมคอยดูแลเลี้ยงลูกนี้
ผลัดเพียงวันต้นผลัดใบไร้อารีย์
จากเดิมที่เขียวขจีก็พลันหาย
ต้นมันแล้งยากจะหาอาหาร
ลูกก็ร่างเล็กน้อยยากเคลื่อนย้าย
แต่เด็กเอ๋ยหิวอาหารชีพจะวาย
ลมฟ้าก็โหมไซร้ไร้ใยดี
โอ้ว่านกตัวแม่หาทางออก
มองเมฆหมอกฟ้าฝนที่พ่นใส่
หากออกไปชีวิตอาจวอดวาย
แต่พอมองกลับไปในรังเจ้า
ก็เห็นลูกร้องโอยโหยอาหาร
จะสถานใดเล่าเจ้าจะขลาด
ตาเขม็งจิตคะนองอย่างองอาจ
รักษาชาติลูกน้อยให้อยู่คง
ปีกกระพือส่งเจ้าไปสู้ฟ้า
กระบังหน้าต้องสู้กับสายลม
แต่จิตใจยืนหยัดไม่ปลดปลง
สุดชื่นชมคุณค่ารักแห่งมารดา)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)