วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ที่พึ่ง - The Dependent Life

เพดานห้องสีเทาอ่อนๆซึ่งถ้าดูก็จะรู้ว่าเคยเป็นสีขาวเมื่อนานมาแล้ว ห้องเล็กๆโทรมๆบนพื้นมีขวดเหล้าเปล่าอยู่ 3 ขวด ม่านขาดๆริมหน้าต่างปล่อยให้แสงสุริยารอดผ่านเข้ามาให้ห้อง

เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ เสียงนกร้องกับแสงตะวันต้องประสาทสัมผัสของเขา ธรรมชาติตอนเช้าที่กวีมากมายเคยพรรณนาไว้ถึงความงดงามของมัน พ่อของเขาเคยสอนเขาไว้ว่าตอนเช้าคือเวลาที่สดใสและมีค่า คนตื่นเช้าเป็นคนที่ได้เปรียบ เหมือนได้รับพรจากธรรมชาติ เหมือนมีเวลาชีวิตมากขึ้น และจะประสบความสำเร็จ
พ่อของเขายึดถือคำพูดนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆคำสอนของพ่อไว้ตลอด ท่านประสบความสำเร็จ มีเงินทองมากมาย เป็นนายห้างที่ทุกคนเคารพ ท่านลาโลกไปเมื่อปีที่แล้ว ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป เขาคิดถึงพ่อ ชีวิตเขามีพ่อเพียงคนเดียว

นทีกับใบหน้าที่แสนอิดโรยแสดงถึงความกร้านและเบื่อโลกใบนี้ เขานึกถึงคำพูดของพ่อเมื่อแสงตะวันแยงตา ปากนั้นบ่มพึมพำ
"กูไม่เห็นว่ามันสดใสอีกแล้ว กูเคยคิด แต่ก็เลิกคิดไปแล้ว"
หนุ่มใหญ่หน้าตาโทรมเอื้อมมือหยิบปฏิทินที่หัวเตียง ใช่ วันนี้เป็นวันครบรอบที่พ่อของเขาเสียไป มือกุมปฏิทินนั่นไว้ เขาคิดถึงพ่อ
…….
เสียงดังโครมพร้อมเสียงกรีดร้อง เด็กน้อยล้มลงจากจักรยาน ร้องไห้ฟูมฟายเป็นอันมาก บนหัวเข่าของเด็กน้อยนทีถลอกเป็นแนวยาว เลือดไหลซิบๆ พ่อวิ่งมาพยุงนทีให้ลุกขึ้น พาเข้าบ้านแล้วเช็ดแผลให้ น้ำตาเด็กน้อยนองหน้าเนื่องจากความแสบของแผล ซักพักความเจ็บก็บรรเทา แผลถูกปิด ผู้เป็นพ่อไม่ได้พูดอะไรเลยขณะทำแผล นทีไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของพ่อ พ่อจะว่าหรือไม่ที่เขาขับจักรยานล้ม ทั้งๆที่พ่อยังสอนเขาขี่จักรยานอยู่เลย พ่ออาจจะว่าที่เขาแอบเอามาขี่คนเดียว
ปริศนาคลี่คลายเมื่อแผลถูกพลาสเตอร์ปิดสนิท
"พ่อดีใจที่เห็นลูกพยายามด้วยตัวเอง ลูกต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง บาดแผลจะทำให้ลูกแข็งแกร่ง"
ผู้เป็นพ่อลูบหัวเข่าเด็กน้อยอย่างนุ่มนวล
นทีโผลกอดพ่อด้วยน้ำตา
เขาเพิ่งเสียแม่ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเคยไม่เห็นน้ำตาของพ่อซักหยด พ่ออาจจะแอบร้องไห้ แต่เขาไม่เคยเห็น ในสายตาเขา พ่อเข้มแข็งมาก พ่อทำงานหนักขึ้นหลังจากที่เพิ่งเปิดร้านขายของชำได้ใหม่ๆ งานบ้านด้วย เขาไม่มีพี่น้อง พ่อตื่นนอนแต่เช้ามืดทำอาหารเช้าให้เขากิน แล้วพาไปโรงเรียน นทีน้อยช่วยพ่อล้างจาน และถูพื้นนิดหน่อยตามวิสัยที่เด็กอย่างเขาจะพอช่วยได้ พ่อไม่เคยบ่น คงเป็นเพราะพ่อหรืออาจจะรวมถึงความเป็นเด็กของเขาด้วยก็ได้ ความรู้สึกว้าเหว่ตั้งแต่ช่วงที่ขาดแม่ไปหายไปในไม่นาน เช้าของนทีช่างสดใส เขาตื่นนอนตอนเช้าอย่างมีความสุข

………
มือนั้นถือแผ่นพับที่ซ่อนแผ่นกระดาษแข็งไว้ภายใน เสื้อครุยโปร่งใสยาวลงมาจรดกลางแข้ง วันนี้เป็นวันที่นทีรับปริญญา เพื่อนฝูงในคณะมีญาติพี่น้องมากมายมาห้อมล้อม
ท่ามกลางหมู่คนที่พลุกพล่าน พ่อของเขาก็เดินเข้ามาหา พ่อไม่เคยผิดนัดเขาเหมือนที่พ่อไม่เคยผิดนัดกับทุกๆคน พ่อสวมกอดเขาด้วยความดีใจ พ่อเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากหยาดเหงื่อของตัวเอง พ่อทำงานหนักกว่าจะตั้งห้างของตัวเองได้ พ่อทำงานทุกวันไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ เขารู้ วันนี้พ่อทิ้งงานเพื่อมาหาเขา
"พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก" พ่อกล่าว
วันแห่งความสุขที่ไม่ต้องการใครเลย นอกจากคนต่างวัยสองคน…

นทีได้ทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุน สถาบันการเงินแห่งนี้ให้เงินทองแก่เขามากมาย รวมถึงโอกาสในการเจริญก้าวหน้าบนเส้นทางนี้ยังมีอีกมาก เขาก้าวหน้าเร็วกว่าเพื่อนหลายๆคนที่จบจากโรงเรียน หรือคณะเดียวกัน ถึงยังแพ้บางคน แต่โอกาสในการเจริญเติบโตทางการงานของเขาก็ไม่แพ้ใคร
แต่เมื่อเขานึกถึงอนาคตของเขาแล้ว เขาต้องการความก้าวหน้าในฐานะนายของตัวเอง ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างใคร เขาตัดสินใจร่วมทุนกับเพื่อนเก่าเพื่อเอาเงินมาเล่นหุ้นเพื่อหลุดจากพันธนาการการเป็นลูกจ้าง ไม่มีใครที่เขารู้จักเห็นด้วยกับเขา นอกจากพ่อของเขา
พ่อบอกเขาว่า "ชื่อของลูก นทีคือน้ำ ลูกต้องไหลไปข้างหน้า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน ต้องมั่นใจ แล้วลูกจะสำเร็จ"
พ่อเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยม และเป็นกำลังใจเสมอมา ถึงแม้เขาไม่เลือกที่จะทำงานกับพ่อ เพราะเขาอยากประสบความสำเร็จด้วยลำแข้งตัวเอง แต่พ่อก็เห็นด้วย คำพูดของพ่อที่สนับสนุน ท่ามกลางคำคัดค้านของทุกๆคน นทีมีความสุข เขาไม่ต้องการใครแล้ว พ่อยังอยู่ข้างเขา พ่อคนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นเช้าของนทีช่างสดใสเฉกเช่นคำของกวี

หนุ่มนักลงทุนวัยแค่ 30 นทีประสบความสำเร็จมากมาย เขาสร้างเงินทองได้มหาศาลจากมันสมองของเขาและพรรคพวก ญาติสนิทมิตรสหายกลับมาหาเขาอย่างมากมาย
วันพ่อปีนั้นนทีก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อ ถ้าไม่มีพ่อเป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำมาโดยตลอด ไม่มีวันที่เขาจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
เขาขับรถสปอร์ตเปิดประทุนคันโก้ แต่งงานกับสุภาแฟนเก่าของเขา ที่เคยทิ้งเขาไป นทีรู้สึกเหมือนตัวเองคือผู้ชนะ ซึ่งก็ถูก ทุกๆคนคิดว่าเขาคือผู้ชนะ ความสำเร็จ ความมั่นใจ เช้าที่ยังคงสดใส

จนกระทั่ง…

เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 2540 ตลาดหุ้นล่ม นทีผู้ประสบความสำเร็จสูญเสียเงินไปมากมาย ไม่ใช่แค่เงินของเขาและพรรคพวก แต่รวมถึงเงินของคนอีกมากมายที่ทำสัญญาให้เขาลงทุนให้ นทีอยู่ในสถานภาพล้มละลาย ญาติมิตรหนีหาย เพื่อนของเขาที่ร่วมลงทุนด้วยกันหนีกันไปหมด บางคนหนีหลบคดีอยู่ต่างจังหวัด บางคนอยู่ต่างประเทศ นทีขายสมบัติทุกอย่างของเขาชดใช้เงินตามสัญญา สุภาเลิกกับเขาและเอาลูกไปด้วย เขาเหมือนจะหมดสิ้นทุกสิ่ง
แต่ยังไม่หมดสิ้น
เขายังมีพ่อ พ่อผู้เคยร่ำรวย แต่ตอนนี้ขายกิจการของท่านเอาเงินมาใช้หนี้ให้แก่ลูกชาย
พ่อไม่พูดอะไรเลย พ่อไม่ว่าเขาซักคำ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด เขาขอโทษพ่อ พ่อเพียงกล่าวกับเขาว่า
"ไม่เป็นไรลูก เราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน"
ยิ่งพ่อพูด เขายิ่งรักพ่อ

สองพ่อลูกต้องย้ายออกไปอยู่บ้านเล็กๆนอกเมือง นทีเริ่มค้าขายเล็กๆน้อยๆ ทำสวนผลไม้เล็กๆพอหากินได้ พ่อเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ ให้เขาเดินหน้าได้ จนกระทั่ง…

ปีที่แล้ว

โรคร้ายเข้ามารุมเร้าพ่อ
พ่อเป็นมะเร็ง
แล้วพ่อก็จากไป
นทีรู้สึกเหมือนกับว่าหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง นึกย้อนถึงครอบครัวของเขาเหลือกันแค่สองคน ญาติพี่น้องคนอื่นต่างแยกย้ายไปหมด สุภากับลูกก็ทิ้งเขาไป เพื่อนสนิทมิตรสหายก็ไม่มีใครแล้ว นทีรู้สึกหมดสิ้น เค้าเคยประสบความสำเร็จมากมาย พ่อคือเบื้องหลัง เหมือนเวทีให้นักแสดงอย่างเขา ถ้าเวทีพังไปแล้ว การแสดงไหนเลยจะสามารถเล่นได้
เขาขายทรัพย์สินทุกอย่างจนหมดสิ้นได้เงินมาก้อนหนึ่ง นทีเก็บตัวเงียบอยู่ในแฟลตโทรมๆ เขาไม่ทำอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาท้อแท้ เขาเกลียดเมื่อถึงวันใหม่ เขาเกลียดผู้คนที่ไม่จริงใจ และสำหรับเขา ไม่มีใครจริงใจ นอกจากพ่อ พ่อซึ่งทิ้งเขาไป คงไม่มีเช้าไหนที่จะสดใสสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

วันนี้

นทีลืมตาตื่นอีกทีในตอนสาย ร่างที่ประหนึ่งไร้วิญญาณลุกขึ้นมาจากเตียง เขาไม่รู้วันเวลา นาฬิกาบนหัวนอนของเขาสงบนิ่งมานานแล้ว
เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้เก่าๆตัวหนึ่ง เปิดลิ้นชักโต๊ะของเขา
มันเป็นรูปของพ่อและเขา มันเป็นสิ่งที่พ่อมอบให้เขาตอนที่เขากำลังสับสนตอนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ
เขาอ่านข้อความข้างหลังรูป เหมือนประโยคที่พ่อเคยพูด เขาน้ำตาไหล
"มันอยู่ในลิ้นชักนี้มานานแสนนาน กูไม่เคยหยิบมันขึ้นมาอ่านเลย"
นทีล้างหน้าล้างตาจนสะอาด มองตัวเองในกระจก
"กูยังหนุ่ม ยังมีความสามารถ กูต้องมั่นใจ กูเชื่อพ่อกู"
แต่งตัวใส่เชิ้ตเก่าๆที่พ่อเคยใส่และเขายังเก็บไว้อยู่ เขากำลังจะก้าวออกไปจากห้องพัก วันนี้เขาจะซื้อของไปทำบุญให้พ่อ แล้วไปสมัครงาน นทีวางรูปนั้นคว่ำหน้าไว้บนโต๊ะ เห็นเป็นลายมือของพ่ออย่างชัดเจน
"พ่อดีใจที่เห็นลูกพยายามด้วยตัวเอง ลูกต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง บาดแผลจะทำให้ลูกแข็งแกร่ง"
นทีลูบหัวเข่าที่มีแผลเป็นจากจักรยานล้มอย่างนุ่มนวล ก้าวออกไปจากห้องนั้นเพื่อรับพรจากธรรมชาติ ถึงตอนนี้จะสายไปหน่อยก็เถอะ
-จบ-ที่พึ่ง
เพดานห้องสีเทาอ่อนๆซึ่งถ้าดูก็จะรู้ว่าเคยเป็นสีขาวเมื่อนานมาแล้ว ห้องเล็กๆโทรมๆบนพื้นมีขวดเหล้าเปล่าอยู่ 3 ขวด ม่านขาดๆริมหน้าต่างปล่อยให้แสงสุริยารอดผ่านเข้ามาให้ห้อง
เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ เสียงนกร้องกับแสงตะวันต้องประสาทสัมผัสของเขา ธรรมชาติตอนเช้าที่กวีมากมายเคยพรรณนาไว้ถึงความงดงามของมัน พ่อของเขาเคยสอนเขาไว้ว่าตอนเช้าคือเวลาที่สดใสและมีค่า คนตื่นเช้าเป็นคนที่ได้เปรียบ เหมือนได้รับพรจากธรรมชาติ เหมือนมีเวลาชีวิตมากขึ้น และจะประสบความสำเร็จ
พ่อของเขายึดถือคำพูดนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆคำสอนของพ่อไว้ตลอด ท่านประสบความสำเร็จ มีเงินทองมากมาย เป็นนายห้างที่ทุกคนเคารพ ท่านลาโลกไปเมื่อปีที่แล้ว ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป เขาคิดถึงพ่อ ชีวิตเขามีพ่อเพียงคนเดียว

นทีกับใบหน้าที่แสนอิดโรยแสดงถึงความกร้านและเบื่อโลกใบนี้ เขานึกถึงคำพูดของพ่อเมื่อแสงตะวันแยงตา ปากนั้นบ่มพึมพำ
"กูไม่เห็นว่ามันสดใสอีกแล้ว กูเคยคิด แต่ก็เลิกคิดไปแล้ว"
หนุ่มใหญ่หน้าตาโทรมเอื้อมมือหยิบปฏิทินที่หัวเตียง ใช่ วันนี้เป็นวันครบรอบที่พ่อของเขาเสียไป มือกุมปฏิทินนั่นไว้ เขาคิดถึงพ่อ
…….
เสียงดังโครมพร้อมเสียงกรีดร้อง เด็กน้อยล้มลงจากจักรยาน ร้องไห้ฟูมฟายเป็นอันมาก บนหัวเข่าของเด็กน้อยนทีถลอกเป็นแนวยาว เลือดไหลซิบๆ พ่อวิ่งมาพยุงนทีให้ลุกขึ้น พาเข้าบ้านแล้วเช็ดแผลให้ น้ำตาเด็กน้อยนองหน้าเนื่องจากความแสบของแผล ซักพักความเจ็บก็บรรเทา แผลถูกปิด ผู้เป็นพ่อไม่ได้พูดอะไรเลยขณะทำแผล นทีไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของพ่อ พ่อจะว่าหรือไม่ที่เขาขับจักรยานล้ม ทั้งๆที่พ่อยังสอนเขาขี่จักรยานอยู่เลย พ่ออาจจะว่าที่เขาแอบเอามาขี่คนเดียว
ปริศนาคลี่คลายเมื่อแผลถูกพลาสเตอร์ปิดสนิท
"พ่อดีใจที่เห็นลูกพยายามด้วยตัวเอง ลูกต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง บาดแผลจะทำให้ลูกแข็งแกร่ง"
ผู้เป็นพ่อลูบหัวเข่าเด็กน้อยอย่างนุ่มนวล
นทีโผลกอดพ่อด้วยน้ำตา
เขาเพิ่งเสียแม่ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเคยไม่เห็นน้ำตาของพ่อซักหยด พ่ออาจจะแอบร้องไห้ แต่เขาไม่เคยเห็น ในสายตาเขา พ่อเข้มแข็งมาก พ่อทำงานหนักขึ้นหลังจากที่เพิ่งเปิดร้านขายของชำได้ใหม่ๆ งานบ้านด้วย เขาไม่มีพี่น้อง พ่อตื่นนอนแต่เช้ามืดทำอาหารเช้าให้เขากิน แล้วพาไปโรงเรียน นทีน้อยช่วยพ่อล้างจาน และถูพื้นนิดหน่อยตามวิสัยที่เด็กอย่างเขาจะพอช่วยได้ พ่อไม่เคยบ่น คงเป็นเพราะพ่อหรืออาจจะรวมถึงความเป็นเด็กของเขาด้วยก็ได้ ความรู้สึกว้าเหว่ตั้งแต่ช่วงที่ขาดแม่ไปหายไปในไม่นาน เช้าของนทีช่างสดใส เขาตื่นนอนตอนเช้าอย่างมีความสุข

………
มือนั้นถือแผ่นพับที่ซ่อนแผ่นกระดาษแข็งไว้ภายใน เสื้อครุยโปร่งใสยาวลงมาจรดกลางแข้ง วันนี้เป็นวันที่นทีรับปริญญา เพื่อนฝูงในคณะมีญาติพี่น้องมากมายมาห้อมล้อม
ท่ามกลางหมู่คนที่พลุกพล่าน พ่อของเขาก็เดินเข้ามาหา พ่อไม่เคยผิดนัดเขาเหมือนที่พ่อไม่เคยผิดนัดกับทุกๆคน พ่อสวมกอดเขาด้วยความดีใจ พ่อเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากหยาดเหงื่อของตัวเอง พ่อทำงานหนักกว่าจะตั้งห้างของตัวเองได้ พ่อทำงานทุกวันไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ เขารู้ วันนี้พ่อทิ้งงานเพื่อมาหาเขา
"พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก" พ่อกล่าว
วันแห่งความสุขที่ไม่ต้องการใครเลย นอกจากคนต่างวัยสองคน…

นทีได้ทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุน สถาบันการเงินแห่งนี้ให้เงินทองแก่เขามากมาย รวมถึงโอกาสในการเจริญก้าวหน้าบนเส้นทางนี้ยังมีอีกมาก เขาก้าวหน้าเร็วกว่าเพื่อนหลายๆคนที่จบจากโรงเรียน หรือคณะเดียวกัน ถึงยังแพ้บางคน แต่โอกาสในการเจริญเติบโตทางการงานของเขาก็ไม่แพ้ใคร
แต่เมื่อเขานึกถึงอนาคตของเขาแล้ว เขาต้องการความก้าวหน้าในฐานะนายของตัวเอง ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างใคร เขาตัดสินใจร่วมทุนกับเพื่อนเก่าเพื่อเอาเงินมาเล่นหุ้นเพื่อหลุดจากพันธนาการการเป็นลูกจ้าง ไม่มีใครที่เขารู้จักเห็นด้วยกับเขา นอกจากพ่อของเขา
พ่อบอกเขาว่า "ชื่อของลูก นทีคือน้ำ ลูกต้องไหลไปข้างหน้า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน ต้องมั่นใจ แล้วลูกจะสำเร็จ"
พ่อเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยม และเป็นกำลังใจเสมอมา ถึงแม้เขาไม่เลือกที่จะทำงานกับพ่อ เพราะเขาอยากประสบความสำเร็จด้วยลำแข้งตัวเอง แต่พ่อก็เห็นด้วย คำพูดของพ่อที่สนับสนุน ท่ามกลางคำคัดค้านของทุกๆคน นทีมีความสุข เขาไม่ต้องการใครแล้ว พ่อยังอยู่ข้างเขา พ่อคนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นเช้าของนทีช่างสดใสเฉกเช่นคำของกวี

หนุ่มนักลงทุนวัยแค่ 30 นทีประสบความสำเร็จมากมาย เขาสร้างเงินทองได้มหาศาลจากมันสมองของเขาและพรรคพวก ญาติสนิทมิตรสหายกลับมาหาเขาอย่างมากมาย
วันพ่อปีนั้นนทีก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อ ถ้าไม่มีพ่อเป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำมาโดยตลอด ไม่มีวันที่เขาจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
เขาขับรถสปอร์ตเปิดประทุนคันโก้ แต่งงานกับสุภาแฟนเก่าของเขา ที่เคยทิ้งเขาไป นทีรู้สึกเหมือนตัวเองคือผู้ชนะ ซึ่งก็ถูก ทุกๆคนคิดว่าเขาคือผู้ชนะ ความสำเร็จ ความมั่นใจ เช้าที่ยังคงสดใส

จนกระทั่ง…

เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 2540 ตลาดหุ้นล่ม นทีผู้ประสบความสำเร็จสูญเสียเงินไปมากมาย ไม่ใช่แค่เงินของเขาและพรรคพวก แต่รวมถึงเงินของคนอีกมากมายที่ทำสัญญาให้เขาลงทุนให้ นทีอยู่ในสถานภาพล้มละลาย ญาติมิตรหนีหาย เพื่อนของเขาที่ร่วมลงทุนด้วยกันหนีกันไปหมด บางคนหนีหลบคดีอยู่ต่างจังหวัด บางคนอยู่ต่างประเทศ นทีขายสมบัติทุกอย่างของเขาชดใช้เงินตามสัญญา สุภาเลิกกับเขาและเอาลูกไปด้วย เขาเหมือนจะหมดสิ้นทุกสิ่ง
แต่ยังไม่หมดสิ้น
เขายังมีพ่อ พ่อผู้เคยร่ำรวย แต่ตอนนี้ขายกิจการของท่านเอาเงินมาใช้หนี้ให้แก่ลูกชาย
พ่อไม่พูดอะไรเลย พ่อไม่ว่าเขาซักคำ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด เขาขอโทษพ่อ พ่อเพียงกล่าวกับเขาว่า
"ไม่เป็นไรลูก เราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน"
ยิ่งพ่อพูด เขายิ่งรักพ่อ

สองพ่อลูกต้องย้ายออกไปอยู่บ้านเล็กๆนอกเมือง นทีเริ่มค้าขายเล็กๆน้อยๆ ทำสวนผลไม้เล็กๆพอหากินได้ พ่อเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ ให้เขาเดินหน้าได้ จนกระทั่ง…

ปีที่แล้ว

โรคร้ายเข้ามารุมเร้าพ่อ
พ่อเป็นมะเร็ง
แล้วพ่อก็จากไป
นทีรู้สึกเหมือนกับว่าหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง นึกย้อนถึงครอบครัวของเขาเหลือกันแค่สองคน ญาติพี่น้องคนอื่นต่างแยกย้ายไปหมด สุภากับลูกก็ทิ้งเขาไป เพื่อนสนิทมิตรสหายก็ไม่มีใครแล้ว นทีรู้สึกหมดสิ้น เค้าเคยประสบความสำเร็จมากมาย พ่อคือเบื้องหลัง เหมือนเวทีให้นักแสดงอย่างเขา ถ้าเวทีพังไปแล้ว การแสดงไหนเลยจะสามารถเล่นได้
เขาขายทรัพย์สินทุกอย่างจนหมดสิ้นได้เงินมาก้อนหนึ่ง นทีเก็บตัวเงียบอยู่ในแฟลตโทรมๆ เขาไม่ทำอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาท้อแท้ เขาเกลียดเมื่อถึงวันใหม่ เขาเกลียดผู้คนที่ไม่จริงใจ และสำหรับเขา ไม่มีใครจริงใจ นอกจากพ่อ พ่อซึ่งทิ้งเขาไป คงไม่มีเช้าไหนที่จะสดใสสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

วันนี้

นทีลืมตาตื่นอีกทีในตอนสาย ร่างที่ประหนึ่งไร้วิญญาณลุกขึ้นมาจากเตียง เขาไม่รู้วันเวลา นาฬิกาบนหัวนอนของเขาสงบนิ่งมานานแล้ว
เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้เก่าๆตัวหนึ่ง เปิดลิ้นชักโต๊ะของเขา
มันเป็นรูปของพ่อและเขา มันเป็นสิ่งที่พ่อมอบให้เขาตอนที่เขากำลังสับสนตอนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ
เขาอ่านข้อความข้างหลังรูป เหมือนประโยคที่พ่อเคยพูด เขาน้ำตาไหล
"มันอยู่ในลิ้นชักนี้มานานแสนนาน กูไม่เคยหยิบมันขึ้นมาอ่านเลย"
นทีล้างหน้าล้างตาจนสะอาด มองตัวเองในกระจก
"กูยังหนุ่ม ยังมีความสามารถ กูต้องมั่นใจ กูเชื่อพ่อกู"
แต่งตัวใส่เชิ้ตเก่าๆที่พ่อเคยใส่และเขายังเก็บไว้อยู่ เขากำลังจะก้าวออกไปจากห้องพัก วันนี้เขาจะซื้อของไปทำบุญให้พ่อ แล้วไปสมัครงาน นทีวางรูปนั้นคว่ำหน้าไว้บนโต๊ะ เห็นเป็นลายมือของพ่ออย่างชัดเจน
"พ่อดีใจที่เห็นลูกพยายามด้วยตัวเอง ลูกต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง บาดแผลจะทำให้ลูกแข็งแกร่ง"
นทีลูบหัวเข่าที่มีแผลเป็นจากจักรยานล้มอย่างนุ่มนวล ก้าวออกไปจากห้องนั้นเพื่อรับพรจากธรรมชาติ ถึงตอนนี้จะสายไปหน่อยก็เถอะ
-จบ-

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550

บอล (The Unpredictable)

หลังจากได้เงินก้อนนั้นมาชีวิตของผมคงจะดีขึ้น ครอบครัวของเราน่าจะกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ดาคงจะไม่ด่าผมอีกแล้ว ลูกทั้งสองคงจะไม่ต้องฟังเราทะเลาะกัน ผมอยากให้ดาและลูกๆรักผมมากๆ ผมต้องการพวกเขา และผมพร้อมเสี่ยง

เงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนสุดท้ายของผมแล้ว ผมลงทุนกับหลายๆอย่างไปมากมายตั้งแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านกาแฟ ร้านขายของชำ และก็อะไรอีกมากมาย แต่ก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลก ผมยังไม่เคยประสบความสำเร็จ ไม่แน่ว่ามันอาจไม่ใช่เส้นทางของผม หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนคนหนึ่ง เขาเคยทำเงินได้มหาศาลกับสิ่งนี้ ผมจะลองดูบ้าง และด้วยเงินก้อนนี้ผมจะท้าดวลกับโชคชะตาอีกครั้งหนึ่ง กับลูกกลมๆที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตครอบครัวของเรา

หลังจากการลงทุนที่สำคัญที่สุดคราวนี้ได้ผ่านไป ผมกลับบ้าน วันนี้ผมใจเย็น ดา และลูกๆอยู่ที่บ้าน ผมคุยกับดาน้อยมาก เหมือนที่เป็นมานานในช่วงหลังๆนี้ ผมรู้ว่าดาเครียดกับเรื่องฐานะของเรา เราเครียดเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่เข้าใจกัน ดา และลูกๆ เข้านอนแล้ว นี่มันก็ตีหนึ่งครึ่งแล้ว สายตาของผมยังคงแข็งทื่อ เกิดอะไรขึ้นในใจของผม ความหวัง ความเครียด ความกังวล และความกลัวกำลังสับสนปนเปกันไปหมด อีกไม่ถึง 15 นาทีการเปลี่ยนแปลงของผมและครอบครัวก็จะเริ่มต้น
เบื้องหน้าของผมคือ ทีวี ผมเปิดมัน และเปลี่ยนไปตามช่องที่ผมต้องการ จ้องมองมันอย่างไร้ชีวิตชีวา 10 นาทีเศษที่กำลังจะมาถึง แม้จะอยากให้มันมาเร็วๆ แต่ก็กลัวในการมาของมัน ผมบอกตัวเองว่าต้องข่มใจให้ได้ มั่นใจในสิ่งที่ทำ โชคชะตาต้องเข้าข้างเราบ้าง
ช่วงเวลาที่รอคอยเพียงไม่กี่นาที ช่างยาวนานนัก ทีวีที่เปิดอยู่ไม่ได้เข้าไปในจิตใจผมเลย ผมเห็นภาพตอนผมจีบดา ตอนสมัยเราเรียนในมหาวิทยาลัย จีบอยู่นานจนกระทั่งเด็กสาววัยรุ่นคนนั้นเห็นใจ ดาน่ารัก นิสัยดี ดาเป็นห่วงผมมากตอนเรียน เธอจดงานให้ผม ติวให้ผม ผมรักเธอมาก ดาบอกว่าอยากอยู่กับผมตลอดไป เราแต่งงานกันอีก 5 ปีต่อมา นั่นก็หลังจากเรียนจบมาไม่นาน มโนภาพของผมตอนนี้คือลูกทั้งสองของเรา อาร์มเกิดหลังจากการแต่งงานของเรา 4 ปี ส่วน ส่วนวิวเพิ่งเกิดเมื่อปีที่แล้ว ทั้งสองเป็นเด็กที่น่ารักมาก ผมรักลูกๆจริงๆ ผมเห็นภาพเหล่านั้น ผมยิ้ม ผมกลัว
พลันก็เกิดเสียงที่หยุดมโนภาพทั้งมวลของผม
"สวัสดีครับ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่การถ่ายทอดสดการแข่งขันยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกนัดชิงชนะเลิศ ระหว่างเสือใต้บาเยิร์น มิวนิค กับปีศาจแดง แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ดครับ"
ผมจ้องที่หน้าจอทีวีอย่างไม่กระพริบตา
ชีวิตของผมกำลังฝากไว้กับนักเตะจากเยอรมันซึ่งเขาไม่เคยรู้จักผม แต่ผมรู้จักเขา และเชื่อเขา ฝ่ายตรงข้ามมาจากอังกฤษ ผมรู้ว่าพวกเขาคือใคร และรู้ด้วยว่าความสำเร็จของเขา คือความล้มเหลวที่จะทำลายชีวิตของเรา เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้บอลจิตใจผมเหมือนจะกังวลไปหมด ผมกลัว กลัวความสามารถของพวกนี้ ภาพหลอนในจิตใจ ผมน่าจะเชื่อพวกนั้น ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ที่เลือกบาเยิร์น
ตั้งแต่เป็นเด็กผมรักฟุตบอลมาก ผมชอบเล่น ชอบดูบอลมาก หลายครั้งที่ผมกับเพื่อนๆในต่างจังหวัดพากันไปเล่น และดูผู้ใหญ่แข่งขันกัน ผมมีความสุข และผ่อนคลายทุกครั้งที่อยู่กับลูกบอล
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อผมเลือกการเดิมพันกับสิ่งที่ผมรักเพื่อสิ่งที่ผมรัก พลันสิ่งๆหนึ่งก็เกิดขึ้น มันอาจจะเป็นสัญญาณที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของผม
"บาเยิร์นขึ้นนำแล้ว"
นักพากษ์บอกว่าเป็นการยิงประตูที่สุดสวย แต่ผมไม่ได้ชื่นชมกับความงามของมัน ผมสนแค่ตัวเลขคะแนน ตัวเลขคะแนนที่อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของผม 1-0 ผมกำลังจะได้เงิน ชีวิตของเรากำลังจะเปลี่ยนแปลง ดาคงจะไม่ต้องกังวลเรื่องต่างๆอีกต่อไปแล้ว ผมรักฟุตบอล ผมรักดา และลูกๆ มันเป็นการนำที่ยาวนาน และดูแล้วโชคชะตาคงจะเป็นของผม ผมจะมีเงินมากพอที่จะให้ครอบครัวเราอยู่กันอย่างมีความสุข ซื้อของขวัญซักชิ้นให้ดา สำหรับวันครบรอบแต่งงานในเดือนหน้า ซื้อของเล่นที่อาร์ม กับวิวอยากได้ ชีวิตเรากำลังจะเปลี่ยน เวลาของเกมใกล้หมดแล้ว เวลาที่ผ่านมาเหมือนมันนานนับปี เหนื่อย กังวล เครียด แต่ทุกๆสิ่งก็กำลังจะเลือนหายไปแล้ว
นาทีสุดท้ายของเกมนี้ …"แมนยูฯตีเสมอได้แล้วครับ!!"
ผมตะลึงงันกับลูกตีเสมอของแมนยู แต่บาเยิร์น ทีมที่ผมเดิมพันชีวิตด้วยไม่น่าจะแพ้ แต่แล้ว เมื่อการทดเวลาผ่านไป นาทีสุดท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ แมนยูฯยิงประตูชัยได้ ประตูชัยของศูนย์หน้าที่เป็นตัวสำรอง คนที่ผมไม่คาดคิด คะแนนที่ผมไม่คาดคิด ชีวิตที่แปรเปลี่ยนภายในเสี้ยววินาที นักเตะจากอังกฤษวิ่งไปฉลองกันกลางสนาม
จะมีใครรู้บ้างไหมว่าคนไทยคนหนึ่ง ณ มุมหนึ่งของเมืองหลวง กำลังจะหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ของขวัญ และของเล่น กับความเป็นอยู่อย่างสุขสบายหายไปกับเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต ถ้าดารู้ ดาอาจจะเลิกกับผมก็ได้ ชีวิตของเราคงจะย่ำแย่ ผมก้มหน้าลง น้ำตารินไหลออกมา เหมือนกับที่นักเตะ บาเยิร์นเสียน้ำตา สาเหตุเดียวกัน ต่างกันตรงผลลัพธ์
ผมปิดทีวี ผมไม่ต้องการเห็นการยินดีของผู้ชนะ หรือน้ำตาของผู้แพ้ ผมไม่ต้องการเห็นอะไรเลย ผมยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ทันใดนั้นมือนุ่มๆคู่หนึ่งก็โอบกอดผม
"ดา!!" หัวหน้าครอบครัวที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตาที่ริมเยิ้มบนหน้าหันไปหาภรรยาของเขาด้วยความตกใจ
ผมมองดา ผมเงียบ แต่ยังคงตะลึง
"ดารู้เรื่องทุกอย่างแล้วค่ะ ดาแอบดูคุณอยู่เงียบๆ"
"ผมเสียใจครับดา มันเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเราแล้ว" ดาเงียบ ไม่มีเสียงออกจากปากของเธอ แต่มันมีรอยยิ้ม
"ดาไม่ชอบการพนัน แต่คุณก็ทำเพราะรักครอบครัวของเรา คุณพยายามทำทุกอย่าง ดาเข้าใจ เราจะเริ่มต้นกันใหม่นะคะ เราจะช่วยกัน แล้วจะไม่ยุ่งกับการพนันอีก"
ผมฟังดา
ผมไม่พูดอะไร
มันเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ออกจากปากของดาตั้งแต่เรามีปัญหาเรื่องการเงิน ผมสวมกอดดา รักดาจริงๆ คืนนั้นไม่มีคำพูดใดๆอีกต่อไปแล้ว เรารักกันมาก ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม
เราขึ้นไปนอน ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง พรุ่งนี้ผมจะลองไปสมัครงาน แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมมองเหลียวหลังมาที่ทีวี ยิ้มให้กับมัน แล้วจากไป ชีวิตผมดีขึ้นแล้ว แม้ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุอย่างที่คิด แต่จะสนใจอะไรล่ะ โลกมันคาดเดาอะไรไม่ได้ มันก็กลมเหมือนลูกบอลนั่นแหละ
-จบ-

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ข่าว (NEWS)

เบื้องหน้าของเขาคือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก มือที่พิมพ์ดีดอย่างรวดเร็ว ผลงานที่สร้างสรรค์จากมันสมองลงสู่ปลายนิ้วมือ ผ่านระบบอิเล็คโทรนิคจนเกิดเป็นเนื้องานออกมา เขาทำอย่างนี้มานาน ทำเช่นนี้มาตลอด งานของเขาอยู่กับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดอื่นๆ มือยังคงบรรเลงอยู่บนแป้นคีย์บอร์ดอย่างมืออาชีพ เพื่อสร้างงานออกมาให้ทันในทุกๆวัน

รัตน์ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ หน้าตาอ่อนเพลียใต้ตาดำคล้ำ เมื่อคืนเขาเพิ่งเขียนข่าวส่งหนังสือพิมพ์ไปตอนเที่ยงคืนกว่าจะกลับมาก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว สมองของเขาตอนนี้ตื้อไปหมด ตามปกติแล้วเขาจะตื่นนอนสายมาก
แต่วันนี้ไม่
รัตน์บ่นพึมพำกับตัวเอง "กูกำลังทำอะไรของกูวะเนี่ย กูเบื่อ กูเหนื่อย แต่กูเลิกไม่ได้ ถ้ากูเลิก ลูกเมียกูจะอยู่ยังไง"
รัตน์มองไปข้างๆเขา นุช ภรรยาของเขานอนหลับสนิท ลูกชายตัวน้อยยังไม่หย่านมก็นอนอยู่ในเปลข้างๆเตียง มันเช้ามากจนใครๆที่นอนเร็วกว่าเขาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา รัตน์มองไปบนฝาผนังมีข้อความนิตยสารแปะใส่กรอบไว้ "รัตน์ เรืองชาติ นักวิเคราะห์ข่าว และนอสตราดามุสแห่งวงการข่าวไทย" เขายิ้มแหยๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียง อาบน้ำล้างหน้าแล้วออกจากบ้านไป

สาเหตุที่เขาต้องตื่นแต่เช้าในวันนี้เพื่อมาพบกับเพื่อนเก่าที่เคยทำงานด้วยกันมานาน ชาญ รณชีพ หรือเสือชาญ ทำงานให้เขามานาน เป็นผู้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เขาก้าวมาถึงขั้นนี้ ชาญนัดเขาที่โกดังเก่าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณนั้นค่อนข้างเงียบไม่เหมือนส่วนอื่นๆของท่าเรือ อาจเป็นเพราะโกดังนี้เก่าจนไม่มีใครอยากเช่ามาเก็บสินค้าต่างๆแล้ว รัตน์มาถึงแล้วเบื้องหน้าของเขาคือชายวัยกลางคนรูปร่างใหญ่หน้าตาทะมึน คิ้วซ้ายมีรอยบากเห็นเด่นชัด แสดงให้เห็นถึงงานเสี่ยงๆ ที่ไอ้เสือผู้นี้ผ่านมานับไม่ถ้วน
รัตน์เอ่ยปากขึ้นทำลายความเงียบของสถานที่ "แล้วงานห่านี่มันมีปัญหาอะไรมึงถึงต้องเรียกกูมา มึงก็รู้ กูไม่อยากมาที่นี่ซักเท่าไร"
ชาญเพื่อนเก่าของเขายิ้มที่มุมปาก "ไม่เอาน่า ถ้าไม่มีปัญหาจริงๆกูไม่เรียกมึงมาหรอก หรือมึงจะให้กูโทรคุยกับมึงล่ะ"
"ห่ามึงก็รู้ ถ้ามึงโทร ผิดสังเกตขึ้นมา กูดับแน่นอน ชื่อเสียงกูป่นปี้แน่ อย่ามาขู่กูเลย แล้วไง งานนี้มันปีปัญหาอะไร" รัตน์ถามไอ้เสือชาญอย่างเริ่มรำคาญ
"ไอ้สมเดชแม่งรู้ตัว"
"ไอ้เหี้ยเอ้ย มึงปล่อยให้มันรู้ตัวได้ยังไง ถ้าเรื่องนี้แดงออกไป กูตายห่าพอดี" รัตน์เริ่มเดือด กล่าวต่ออีกว่า
"แล้วแม่งเสือกรู้ได้ยังไง"
"ใจเย็น มันแค่รู้ว่ามีคนพยายามปองร้ายมัน แต่มันยังไม่รู้ว่าเป็นใคร"
"อือ ก็ยังดี อย่าให้พลาดละกัน แต่มึงไม่ได้เรียกกูมาแค่นี้แน่"
ชาญยิ้มเมื่อโดนเพื่อนเก่าเพื่อนแก่รู้ทัน เขาแบมือออกมา
รัตน์ควักเงินออกจากกระเป๋ามาเป็นกำ
"มึงเอาไป อย่าใช้ในมือเติบ ทำงานให้สำเร็จละกัน" รัตน์มองที่พื้นเห็นเศษซิการ์ชั้นดีอยู่ที่พื้น
"ไอ้ห่ามึงเล่นสูบของแบบนี้นี่หว่า ไม่น่าเงินถึงหมด ไอ้เหี้ยเอ้ย"
เสือชาญยิ้มแหยๆ "เออ นิดหน่อยน่า เอาเป็นว่างานนี้กูจัดการให้เรียบร้อยละกัน"
รัตน์เดินออกมาจากโกดังเก่าหลังนั้น หวังว่าเงินที่เขาได้จ่ายไปคงจะช่วยให้งานสำเร็จ ไอ้เสือ ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ถ้าสำเร็จจริงภาพถ่ายและเนื้อหาข่าวที่ละเอียดของเขาคงทำเงินได้มหาศาล คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม โลกสมัยใหม่ข่าวสารช่างมีค่าซะเหลือเกิน ยิ่งมีค่ามากกับสังคมที่ไม่เลือกบริโภคมัน นักข่าวอย่างเขาสามารถหาเงินได้มหาศาล

2-3 วันที่ผ่านมา รัตน์ได้ทำข่าวเกี่ยวกับรัฐมนตรีสมเดช สว่างศรี ที่มีการขัดเรื่องผลประโยชน์ที่ดินกับกำนันธงในภาคตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของรัฐมนตรี เขาวิเคราะห์ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์บานปลายอย่างแน่นอน ทั้งๆที่นักวิเคราะห์ข่าวคนอื่นๆวิเคราะห์ว่าทั้งสองจะเคลียร์ปัญหากันได้ เพราะกำนันธงเองก็เป็นหัวคะแนนในพื้นที่ของท่านรัฐมนตรี น่าจะยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า รัตน์รู้ดีว่าถ้าหากเหตุการณ์บานปลายถึงขนาดว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกลอบสังหาร เขาจะยิ่งโด่งดังในฐานะผู้วิเคราะห์ข่าวที่แม่นยำ และเขาจะไปอยู่ตรงที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุดเพื่อจะให้ได้ข่าวที่สุดแสนจะละเอียด

วันกำหนดการณ์มาถึงแล้ว รัตน์ เสือชาญ และพรรคพวกของมันเตรียมอาวุธวัตถุระเบิดครบมือ ทบทวนแผนที่วางเอาไว้
"จากการสำรวจสมเดชมันจะต้องนั่งรถผ่านเส้นทางนี้ตลอด ในเวลาประมาณสามทุ่ม เราจะต้องวางระเบิดในบริเวณหัวมุมถนนนี้ที่รถจะผ่านเข้ามา แรงระเบิดจะเด็ดหัวไอ้สมเดชได้แน่ เป็นยังไงวะไอ้รัตน์" เสือชาญถามเพื่อนและนายทุนของมัน
"ดี ดี มึงยังเป็นมืออาชีพเหมือนเดิม"
รัตน์ออกไปรอบริเวณหัวมุมถนนนั้นเพื่อที่จะถ่ายรูปและทำข่าวให้ทันท่วงที เขาไม่เคยไว้ใจใครให้ถ่ายรูปให้ เขาต้องทำมันด้วยตัวเอง นี่เองที่ทำให้เขาโด่งดังจนถึงที่สุดในวงการ
รถเบนซ์เอสคลาสส์วิ่งผ่านมาบนถนนนี้ตามเวลาที่คาด
แต่!!
ไม่มีระเบิด
รัตน์ทำท่าตะลึง ตะโกนกลับหลังไปหากลุ่มของเสือชาญ
"ไอ้เหี้ยนี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ?"
ไอ้เสือเดินเข้ามาเขาโดยไม่ตอบอะไร พลันมือควักปืนขึ้นจ่อหัวรัตน์ ไม่กี่วินาทีต่อมารถเบนซ์เอสคลาสส์คันนั้นก็วิ่งกลับมาอย่างเร็วจอดหน้ารัตน์ เรืองชาติ รัฐมนตรีสมเดชเดินลงมาจากรถ จ้องหน้านักข่าวชื่อดัง
"กูรู้ว่ามึงจะฆ่ากู เหมือนที่มึงฆ่า ลอบวางระเบิด สร้างเหตุการณ์มานับไม่ถ้วน แต่มึงมันรู้จักกูน้อยไป ไอ้เด็กน้อย กูซื้อตัวไอ้เสือชาญไว้แล้ว มันบอกกูเรื่องของมึงทั้งหมด มึงมันโง่ ถ้ามึงฉลาดจริงมึงน่าจะสืบรู้ได้ว่า คนที่กว้างขวางในวงการยาบ้าแบบกู รู้จักเสือนับไม่ถ้วน"
"มึงค้ายาบ้า…" รัตน์ทำเสียงตะลึง
"ฮ่าๆ ดูสิ มันยังไม่รู้เลยว่าคนที่มันกำลังจะฆ่า ทำอาชีพอะไร ฮ่าๆ มึงตายซะ ไอ้ชาญ ยิงมัน"
พลันเสียงปืนปะทุดังขึ้น ร่างไร้วิญญาณนอนตายอยู่กับพื้น ไอ้เสือชาญ รณชีพ ตายแล้ว! มันตายก่อนที่มันจะเหนี่ยวไกยิง มองออกไปไกลเบื้องหลังคือหน่วยคอมมันโดของกรมตำรวจ กับปืนไรเฟิ้ลติดกล้องเล็งตอนกลางคืน พวกของไอ้เสือก็ตายหมดแล้วเช่นกัน
"มึง…มึง…" รัฐมนตรีพูดไม่ออก รีบวิ่งขึ้นไปบนรถคว้าปืนออกมา รัตน์คว้าปืนของไอ้ชาญ ยิงเข้าที่ด้านหลังของรัฐมนตรีก่อน
สมเดช สว่างศรี สิ้นใจในทันที
หน่วยคอมมันโดวิ่งมาล้อมรัตน์อยู่เต็ม
"คุณรัตน์ไม่เป็นไรนะครับ โหคุณเยี่ยมมาก แหล่งข่าวยอด ไอ้เสือชาญมาแลกเปลี่ยนยาบ้าตรงบริเวณนี้นี่เอง เราค้นหลังรถของไอ้เสือแล้ว พบยาบ้าอยู่เต็ม"
รัตน์นิ่ง ไม่พูดอะไร
เขากลับบ้านไปเขียนข่าวลงบนหนังสือพิมพ์
"เสือชาญ รณชีพ นัดพบรัฐมนตรีสมเดช สว่างศรี เพื่อขนถ่ายยาบ้าและจ่ายเงิน เงินเป็นจำนวนมหาศาลจนรัฐมนตรีต้องมาเอง ผู้เขียนทราบข่าว และเข้าไปทำข่าวเสี่ยงตาย โดยได้แจ้งให้หน่วยคอมมันโดทราบ แม้ต้องเสี่ยงชีวิตแต่ก็น่าภูมิใจที่ได้นำข่าวที่ทันควัน เร่งด่วนมาให้แก่ท่านผู้อ่านได้ เชื่อว่าภายในคฤหาสถ์ของรัฐมนตรีคงมียาบ้าอีกมากมาย ขอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปลองสืบค้นดู…"
ข่าวเสร็จเรียบร้อย ความโด่งดังของรัตน์ เรืองชาติคงจะพุ่งขึ้นไปมหาศาลพร้อมเงินทองอีกมากมายจากสำนักพิมพ์
รัตน์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น
"งานเยี่ยมมากไอ้เสือขาบ ยาบ้าที่มึงเอาใส่รถไอ้เสือชาญน่ะ กูว่าแล้วว่ามันต้องหลอกกู ก้นบุหรี่ซิกก้าร์ ฮ่าๆ มันนึกว่ากูโง่ ถ้าไม่ใช่คนระดับไอ้สมเดชมาหามันก่อนหน้ากู ใครมันจะสูบวะ งานหน้าทำให้ได้อย่างนี้นะมึง"
รัตน์วางหูโทรศัพท์มือถือ
เขาต้องเข้านอนแล้ว
นุชกับลูกกำลังนอนหลับอย่างสบาย
เป็นอีกคืนหนึ่งซึ่งภรรยาและลูกไม่มีโอกาสได้เห็นเขา
รัตน์ เรืองชาติ หอมแก้มนุชภรรยาสุดที่รัก เขารักภรรยาและลูกของเขา
-จบ-

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2550

พิราบระเหิน

ปีกคู่นั้นกระพือสะพัดได้เร็วขึ้นทุกวันทุกคืน ข้าพเจ้ามองดูปีกที่ปกคลุมไปด้วยขนสีขาวของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ ดวงตามองผ่านช่องไฟของซี่กรง อีกประเดี๋ยวข้าพเจ้าจะได้โบยบินออกไปสู่โลกกว้าง...

ข้าพเจ้าเติบโตมาในกรงๆนี้ จำไม่ได้ว่ามาสู่ที่แห่งนี้เมื่อใด มาได้อย่างไร ข้าพเจ้าจดจำไม่ได้ถึงพ่อและแม่ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มานาน นานจนไม่รู้อะไรเลย นอกจากชีวิตในแต่ละวัน ณ กรงน้อยๆแห่งนี้

ปีกคู่นี้ใหญ่ขึ้นๆทุกๆวัน ข้าพเจ้ากินมาก ออกกำลังปีกมาก ทำร่างกายให้แข็งแรง ข้าพเจ้าฝึกฝนการบินของข้าพเจ้าอย่างหนัก ด้วยความหวังว่าเมื่อใดที่ประตูกรงนั้นเปิดออก ข้าพเจ้าจะได้ไปสู่โลกภายนอกได้ ข้าพเจ้าเคยเห็นนกกระจอกน้อยบินอยู่ภายนอกกรงของข้าพเจ้า ตัวมันช่างเล็กกว่าข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าสามารถบินได้เร็วกว่า แข็งแรงกว่า และดีกว่ามัน แต่นั่นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้เลย อิสรภาพคือสิ่งที่กระจอกน้อยโชคดีกว่าข้าพเจ้า

ปีกของข้าพเจ้ายังคงกระพือ มันกำลังแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันสมองของข้าพเจ้าก็กำลังคิด ข้าพเจ้ามีแผนการที่จะออกไปจากกรงๆนี้...

เจ้าของของข้าพเจ้ากำลังจะเดินมาเปิดกรง ข้าพเจ้านอนแผ่อยู่บนพื้นกรง นอนไม่กระดิกตัว เจ้าของของข้าพเจ้าซึ่งเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆตื่นตกใจ วิ่งเข้ามาที่กรง มือน้อยๆนั่นเปิดกรง แล้วอุ้มข้าพเจ้าออกมาด้วยความตกใจ ข้าพเจ้าลุกขึ้นมาบนมือของเด็กน้อย ปีกคู่นั้นกระพืออย่างทรงพลัง เบื้องหน้าที่โลกกว้างที่ข้าพเจ้าหมายจะพบเจอ โลกแห่งอิสรภาพ

ข้าพเจ้าบินขึ้นจากมือของเด็กน้อยอย่างเร็ว คุ้มค่ากับที่ข้าพเจ้าได้ฝึกฝนมา ตอนนั้นในหัวสมองของข้าพเจ้ามันตีรวนไปหมด ข้าพเจ้ากำลังสับสน โลกภายนอกจะเป็นยังไง ข้าพเจ้าไม่อาจจินตนาการได้ ข้าพเจ้าไม่เคยออกจากกรงๆนี้มาก่อน ข้าพเจ้ากำลังคิดถูกหรือไม่ ข้าพเจ้ากำลังจะทิ้งทุกอย่างเพื่อไปหาอิสรภาพ ทั้งๆที่ข้าพเจ้าอาจจะไม่มีอะไรกิน และต้องตายหรือนี่

ข้าพเจ้าตัดสินใจ

ข้าพเจ้าบินกลับเข้าสู่กรง

เด็กน้อยดีใจ

กรงนั่นปิดอีกครั้ง
ปีกคู่นั้นกระพือสะพัดได้เร็วขึ้นทุกวันทุกคืน ข้าพเจ้ามองดูปีกที่ปกคลุมไปด้วยขนสีขาวของตัวเองด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า ดวงตามองผ่านช่องไฟของซี่กรง ในนี้คงเป็นที่ที่เหมาะสมกับข้าพเจ้าแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2550

The Pedestrian

คนเดินตรอก

บางครั้งเราก็เรียนรู้ชีวิตของตัวเองจากการสังเกตสิ่งต่างๆรอบข้าง แล้วย้อนกลับมามองชีวิตของตัวเราเอง เหมือนคนเดินตรอกที่มีโอกาสได้เฝ้าสังเกต ได้เห็นความเป็นไปของสิ่งต่างๆรอบตัว สิ่งที่คนบางคนที่นั่งรถผ่านไม่เคยได้เห็น

รถเบ็นซ์คันใหญ่สีเทาอ่อนแล่นผ่านทะลุซอยที่ลึกยาว ฟิล์มหนาปิดบังใบหน้าของคนขับ และเจ้าของรถที่นั่งอยู่ด้านหลังอย่างมิดชิด สีเทาอ่อนๆนั้นแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าของรถคันนั้น ใช่! ท่านใหญ่จริงๆ เจ้าของรถคันนั้นคือรัฐมนตรีใหญ่ ท่านมีอำนาจ และความร่ำรวยจนยากที่ใครจะเทียบได้

รถเบ็นซ์แล่นมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ มันเป็นคฤหาสน์ที่ตกแต่งแบบยุโรป มีเสาโครินเทียน อยู่สี่ต้น ตั้งสู่งตระหง่าน แสดงฐานะของผู้เป็นเจ้าของอย่างสมเกียรติ์
ท่านรัฐมตรี สมเจตต์ ชาติวุฒิ เดินลงมาจากรถคันโก้
"ท่านครับ เมื่อซักครู่ คุณทัศน์ โทรมาครับ เตือนว่าพรุ่งนี้มีนัดเล่นกอล์ฟ ตอนเช้าครับ"
คนรับใช้แจ้งเนื้อความที่ตนรู้แก่รัฐมนตรีทราบ
วันนี้ท่านสมเจตต์ ชาติวุฒิ เข้านอนเร็ว เขาต้องเตรียมตัวสำหรับการดวลกอล์ฟเช้าวันพรุ่งนี้

ป้ายไม้สีสวยบนสนามหญ้านั่นเขียนอธิบายสภาพสนามของหลุ่ม 18 พาร์ 4 อย่างคร่าวๆ ถัดจากป้ายนั้นคือ ทัศน์ จิรานันท์ นักธุรกิจใหญ่ที่กำลังวิ่งเต้นสัมปทานของรัฐ และรัฐมนตรีสมเจตต์ ผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจเรื่องนี้ พร้อมด้วยบริวารของทั้งคู่สี่ห้าคน
"ผมตามคุณอยู่แต้มหนึ่ง หลุมนี้คุณจะเดิมพันยังไง" สมเจตต์ ชาติวุฒิ ถามนักธุรกิจใหญ่ที่ร่วมออกรอบกับเขา
"หลุมนี้เป็นหลุมสุดท้าย ผมให้หลุมนี้มีค่า 2 แต้มเลย ใครชนะได้ไปเลยดีมั้ยครับท่าน แต้มละหนึ่งล้านบาท"
"ตกลง ผมเล่น"
สมเจตต์ยิ้ม เขารู้ว่าเขาไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อเล่นกับคนที่กำลังจะวิ่งเต้นสัมปทาน
นักธุรกิจใหญ่แพ้จริงๆ หลุมนั้นเขาตีเสียอย่างไม่น่าเชื่อ ลูกพัตต์ง่ายๆก็หลุดปากหลุมไปอย่างน่าเกลียด เขาจ่ายเงินสดให้แก่คนของรัฐมนตรีหนึ่งล้านบาทตามตกลง
"ขอบพระคุณมากครับที่ให้เกียรติ์มาเล่นกอล์ฟกับผม ผมหวังว่าเราจะได้ทำอะไรอีกมากมายร่วมกันนะครับ"
สมเจตต์ยิ้มรับ เงินหนึ่งล้านกับเวลาช่วงเช้า ช่างเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าของนายห้างผู้นี้จริงๆ ถ้าการแกล้งแพ้ครั้งนี้ทำให้ทัศน์ได้รับสัมปทาน สมเจตต์นึกขำ นี่แหละนะชีวิตนักธุรกิจ ยอมทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ แต่ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรถ้าเขาจะให้ ทัศน์ จิรานันท์ ได้สัมปทานนี้ไป สมเจตต์พึมพำกับตัวเอง "นี่แหละนะชีวิตนักการเมือง"

มือกำปึกธนบัตรใบละพันหนาๆปึกนั้น สองตาก็จ้องมองมัน แต่ไม่ได้ด้วยความปิติเหมือนตามธรรมดาสามัญชน รัฐมนตรีจ้องมัน จิตใจเขาคิด ปากพึมพำกับตัวเอง ราวกับคนวิตกจริต
"ชีวิตกูนี่ผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน จากเด็กบ้านนอกเลี้ยงควาย กลายมาเป็น ส.ส. กลายมาเป็นรัฐมนตรี มีทั้งอำนาจ และก็.."
สมเจตต์มองไปที่ปึกกระดาษนั้น มือกระดกมันขึ้นลอยสูงนิดๆ แล้วรับมันเมื่อตกกลับลงมา อำนาจและ เงินคือทุกสิ่งในชีวิตนักการเมืองของเขา เขาทำหลายๆอย่างเพื่อให้ได้มันมา อย่างน้อยมันก็คุ้มกับเงินที่เขาต้องเสียไปในการเลือกตั้ง เขานึกย้อนถึงตอนที่ได้เป็น ส.ส.สมัยแรก เขาอภิปรายได้อย่างเฉียบคมในสภา นั่นทำให้เขาก้าวมาถึงการเป็นรัฐมนตรีได้เพียงแค่ในการเลือกตั้งสมัยที่สอง ทำให้ผู้คนมากมายได้รู้จักชื่อของ สมเจตต์ ชาติวุฒิ เขายิ้ม รถคันใหญ่นั้นกำลังแล่นไป

รถเบ็นซ์คันใหญ่สีเทาอ่อนแล่นผ่านทะลุซอยที่ลึกยาว สมเจตต์ ชาติวุฒิ กลับบ้าน
"ท่านครับ ท่านหัวหน้าพรรคต้องการให้ท่านโทรกลับด่วนเลยครับ" เสียงจากคนรับใช้ เป็นเสียงแรกที่ดังเข้าหูของเขา หลังจากที่กลับมายังคฤหาสน์
หัวหน้าพรรคไม่ได้โทรหาเขามานานแล้ว ตั้งแต่เขารับตำแหน่งนี้มากว่า 2 ปี วันนี้คงมีอะไรพิเศษเป็นแน่ สมเจตต์รีบเดินเข้าบ้าน คนสนิทของเขาต่อโทรศัพท์หาหัวหน้าพรรคให้
"ท่านหัวหน้าพรรคครับ มีอะไรครับท่าน"
"เออ คุณสมเจตต์ เหรอ อือ ผมมีข่าวดีจะบอกคุณน่ะ"
"อา…อะไรครับท่าน" รัฐมนตรีใหญ่อยากรู้
"นี่คุณสมเจตต์ฟังนะ ผมมีแผนการที่จะเลื่อนตำแหน่งให้คุณเป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 นั่นหมายความว่าคุณจะได้เป็นรายชื่ออันดับ 3 ต่อจากผม และท่านเลขาฯ ในการเลือกตั้งสมัยหน้า คุณว่าเป็นยังไง?"
"โห เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งครับท่าน"
"แต่ผมต้องการความร่วมมือจากคุณเล็กน้อย"
"ร่วมมือ…ได้ครับ ได้แน่นอน ว่าแต่ อะไรเหรอครับ"
"ช่วงสองปีที่เหลือผมอยากให้คุณออกมาเตรียมการเลือกตั้ง ผมจะให้คุณนพ รับตำแหน่ง รัฐมนตรีแทนคุณ"
"หมายความว่า…"
"เอาน่าคุณสมเจตต์ ผมเชื่อว่าคุณคงเข้าใจ ผมก็ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว อนาคตคุณในทางการเมืองยังมีอีกยาว คุณอายุเพิ่ง 45 เป็น ส.ส. เพิ่งจะสมัยที่สอง เป็นรัฐมนตรีได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ผมไม่มีเวลามากหรอกนะ คุณก็รู้การเมืองเดี๋ยวนี้สำคัญต้องมีเงิน โชคดีละกัน"
"แต่ท่านครับ มันไม่…" ผู้โทรไปตะเบ็งเสีย
ไม่ทันแล้ว ปลายสายวางหูไปแล้ว
สิ้นสุดการสนทนา
แต่ความคิดของเขายังไม่สิ้นสุด
สมเจตต์ ชาติวุฒิ รู้ดี นพ นันทชัย เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมหาศาล คนคนนี้กระโดดเข้ามาในวงการการเมืองเป็นสมัยแรก และได้รับการจับตามองเป็นพิเศษจากสังคม อำนาจเงินของนพมีมหาศาลยิ่งเมื่อใกล้สมัยเลือกตั้ง นั่นเป็นสาเหตุที่เขาโดนปลดกลางอากาศ การพูดว่าเขาสามารถอยู่ในลำดับสามของบัญชีรายชื่อเป็นเพียงการที่หัวหน้าพรรคต้องการแสดงให้เขาเห็นว่า ท่านมีอำนาจต่อการเติบโตทางการเมืองของเขาขนาดไหน และหากว่าเขาไม่ลงจากเก้าอี้ ก็ไม่แน่ว่าจะได้เป็น ส.ส. อีก รัฐมนตรีใหญ่ถอนหายใจยาว อำนาจและ เงินไม่จีรังจริงๆ
เขาอยากจะตะโกนให้สุดเสียง แต่เขาไม่ทำ
สมเจตต์ ชาติวุฒิ เดินออกไปนอกบ้าน ถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรซักอย่าง กับชีวิตของเขา
เขาเดินออกมาโดยไม่มีใครรู้

เขาเดินไปที่สวนสาธารณะแถวบ้าน สวนสาธารณะที่เขาไม่ได้มานานแล้ว
เขานั่งลงบนก้าวอี้ในสวน เขาคนเดียวเท่านั้นในบริเวณนั้น
สายตาคู่นั้นกลอกมองไปทั่ว นี่คือสวนสาธารณะที่เขาช่วยเหลือในการออกเงินสร้าง ยังมีป้ายขอบคุณติดอยู่หน้าสวนอยู่เลย ต้นไม้ต้นนั้นเขาก็ได้เป็นคนปลูก มันเป็นต้นแรกของสวนแห่งนี้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่กับทำเนียบ สภา บ้าน และสนามกอล์ฟ
"ลูกโป่งของหนู ลูกโป่งของหนู" เด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ทำลายความคิดขณะนั้นของรัฐมนตรี นิ้วชี้บนมือขวาน้อยๆของเด็กชี้ไปที่ลูกโป่งสีชมพู ที่ลอยไปติดกับกิ่งไม้ มันไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็เกินความสามารถที่เด็กขนาดนี้จะเอื้อมถึงได้
เขาเอื้อมมือไปดึงลูกโป่งมา ก้มตัวลง ยื่นลูกโป่งให้เด็กน้อย
"ขอบคุณค่ะ คุณลุง" เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาพูดกับรัฐมนตรีใหญ่ที่กำลังจะถูกปลด
เขาไม่ได้พูดอะไร ในใจของเขาไม่ได้คิดอะไร พลันรอยจุมพิตก็ประทับอยู่บนหน้าผากของเขา เด็กน้อยนั่นจูบลงบนหน้าผากของสมเจตต์ เธอถือลูกโป่งแล้ววิ่งหายไปอย่างมีความสุข
เขาอยู่คนเดียวอีกครั้ง
แต่ความคิดของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว

ฝูงนกบินวนไปทั่วท้องฟ้า บ้างร่อนลงมาหาอาหารแล้วกระพือปีกของมันไปสร้างความงดงามให้ฟากฟ้าเช่นเดิม ปลาดำผุดดำว่าย เช่นเดียวกับเต่าที่โผล่หัวขึ้นมาอย่างน่าเอ็นดู
อีกครั้งที่สมเจตต์ ชาติวุฒิ พึมพำกับตัวเอง
"กูในสภา กูที่บ้าน กูในสวนสาธารณะ เด็กน้อย เธอเรียกกูว่า "คุณลุง" "
คำพูดพึมพำที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง สมเจตต์นึกถึงสาวน้อยคนนั้น น่าเสียดายที่เธอจากไปแล้ว เขาอยากรู้ว่าเธอชื่ออะไร และอยากจะขอบใจเธอ
ขอบใจเธอที่ทำให้เขารู้จักชีวิต
ขอบใจเธอที่ดึงเขาลงมา จากชีวิตลอยสูงจากพื้นฐานของตัวเอง
เขาเหมือนลูกโป่งที่ลอยล่องไป จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมาจากจุดไหนของชีวิต เขาก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง มีบทบาทต่างๆไปในสังคม เป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. เป็นผู้สมัครที่ยกมือไหว้ชาวบ้านไปทั่ว เป็นนักศึกษา เป็นนักเรียน เป็นเด็กเลี้ยงควาย และก็เป็นคุณลุงที่ช่วยเด็กน้อยจับลูกโป่ง
เขายิ้ม
เขาดึงลูกโป่งลงมาคืนให้แก่เธอ เธอดึงใจลงมาคืนให้แก่เขา
สมเจตต์ ชาติวุฒิ ลุกขึ้นจากที่ตรงนั้น "พอกันทีสำหรับชีวิตที่สูงส่ง"
รัฐมนตรีใหญ่เดินกลับไปที่บ้านของเขา คฤหาสน์หลังเดิมกำลังจะต้อนรับเจ้าของที่เปลี่ยนไป

-จบ-

Winn On Youtube

Pedestrain On TV (บังเอิญมาก)