เต็นท์หลังใหญ่นั้นถูกปักสมอบกให้ตั้งนิ่งอยู่ ณ กลางป่า สก๊อตต์ต้องเป็นยามรักษาการในคืนแรกนี้ หลังจากที่เขาบริการอาหารที่เขาเองเป็นคนจัดเตรียมมาให้แก่ทุกๆคน ที่จริงเขาเหนื่อยเหลือเกินที่จะรับงานนี้ แต่การจับไม้สั้นไม้ยาวที่ศาสตราจารย์ให้เสี่ยง ก็ยุติธรรมดี สก๊อตต์รู้ ทุกคนต่างก็เหนื่อยเหมือนๆกัน
ลมโบกพัดโชยความเย็นยะเยือกแห่งยาวค่ำคืน นัยน์ตานั้นมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงได้อย่างชัดเจน คืนที่สว่างแต่ทางออกยังคงมืดมน สก๊อตต์ยังคงยืนเฝ้ายามต่อไป ไม่รู้ว่าคืนนี้จะยาวนานอีกซักเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็สบายใจ อุปกรณ์ที่โรเบิร์ตติดตั้งไว้จะเตือนให้เขารู้ถ้ามีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้รับเชิญหลุดเข้ามาได้ ความสบายใจนั้นเกิดขึ้นโดยที่สกอตต์ไม่ได้รู้เลยว่าเบื้องหลังโพรงหญ้าห่างออกไปไม่ไกลนั้นมีนัยน์ตาสีฟ้าเข้มทะมึนคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา เหมือนเตรียมตัวจะทำอะไรบางอย่าง
เบื้องหน้าของเขาคือสีไฟหลากหลายสลับสับเปลี่ยนกันไปทั่ว มันคล้ายมโนภาพที่เขาเคยเห็น อสุรกายพวกนั้นปรากฎกายขึ้นมาแล้วหาไปกับพวกนักสำรวจที่มากับเขา พลันปรากฎใบหน้าของ ศ.ดร.นิตย์ เดชธำรง ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาหาเขาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนหยุดนิ่งเมื่อเคลื่อนมาแทบจะถึงใบหน้าของเขา ปากบนใบหน้านั้นขยับ "ยินดีต้อนรับนะ นนท์ นาคะเกียรติ" เหมือนเช่นเคย นนท์พยายามจะตอบใบหน้านั้น แต่มันก็พลันหาไป มโนภาพกลายเป็นสีดำมืดในฉับพลัน
นนท์สะดุ้งตื่น เขาเห็นภาพนั้นอีกแล้ว ใบหน้าของท่านศาสตราจารย์ เขากำลังอยู่ที่ไหน กำลังจะเจออะไร เขาตอบไม่ได้ เขาไม่อยากรู้ เขาสับสน เหงื่อท่วมโทรมกาย พลันเกิดเสียงตะโกนที่ไม่คาดฝัน
"เสือ!!!! ช่วยด้วยๆ" สก๊อตต์ยังส่งเสียงขอความช่วยเหลือเหมือนเดิมอีกหลายครั้ง จนเสียงนั้นเงียบหายไป นนท์ นาคะเกียรติ์ ตื่นเต้น ตกใจมาก เขาเปิดกระโจมเต็นท์นั้นออก ขณะที่คนอื่นเพิ่งจะสะดุ้งลุกขึ้น ทุกคนดูต่างจะเหนื่อยเพลียเกินกว่าจะสามารถรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ สายตาของนนท์ สาดส่องไปทั่ว แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทำให้เขาเห็นมันได้อย่างเต็มที่ ร่างกายของเขาแข็งเกร็ง มันเป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เสือโคร่งตัวใหญ่ตัวนั้นยืนจ้องชายหนุ่มนักโบราณคดีจากอังกฤษ สก๊อตต์นิ่ง ร่างกายของเขาแข็งเกร็งยิ่งกว่านนท์มาก แววตานั้นหากเพ่งมองดูลึกๆแล้วมันซ่อนความหวาดกลัวต่อภัยเบื้องหน้าอยู่ แต่เจ้าของแววตานั้นไม่ขยับร่างกายส่วนใดเลย สก๊อตต์รู้ว่าเขาไม่ควรเลือกที่จะหนี ความนิ่งอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่การหนีคือการวิ่งเข้าหาความตาย เสือโคร่งตัวหนักขนาดไม่น่าต่ำกว่า 200 กิโลกรัมนี้ หากวิ่งตามมาตะปบเขา คือความตายทันที
นนท์รู้ว่าจะต้องทำอะไรซักอย่าง แต่ความคิดของเขาไม่สามารถนำมาซึ่งคำตอบนั้นได้เลยในภาวะคับขันขนาดนั้น แต่มุมโต้ เขาแสดงสิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิด เขาย่องออกมานอกเต็นท์ในขณะที่คนอื่นๆยังคงเฝ้ามองเหตุการณ์นี้จากในเต็นท์นั่น มือขวาของชายตัวใหญ่ร่างดำกำไฟแชคอยู่ มือซ้ายกำไต้จุดไฟซึ่งเตรียมไว้เพื่อใช้นำทางยามค่ำคืน จุดไฟที่ไต้แล้วยกมันขึ้น ในมือซ้ายของเขาตอนนี้เหมือนประหนึ่งกำคบเพลิงอันร้อนระอุ เสือร้ายมองมาทางเขา มุมโต้ชี้ไต้ไฟไปยังมัน แต่ไม่เหมือนเสือร้ายทั่วไปที่มักจะกลัวไฟ มันไม่แสดงอาการกลัวต่อสิ่งที่มุมโต้ทำเลย นนท์ เกรียงไกร และ โรเบิร์ต ตามออกจากเต็นท์นั้น ทุกคนนำไต้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดมาจุดต่อจากมุมโต้ ทั้งสี่คนกำไฟกองใหญ่นั้นไว้ เสือร้ายไม่แสดงอาการกลัว มันละสายตาจากสก๊อตต์มายังพวกเขา แววตาของมันแสดงถึงความไม่เป็นมิตร มันมองมายังทั้ง 4 คนที่ไม่แสดงอาการกลัวต่อมันเหมือนกัน มันตะปบตีนหลัง และวิ่งเข้ามาหา นนท์ และพรรคพวกด้วยความเร็ว มันกำลังจะทำอะไร! มันไม่กลัวไฟ! มันกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อยัดเยียดความตายให้กับพวกเขา!?!
ทันใดนั้น เสียงประหลาดก็ดังขึ้นมา มันเป็นภาษาที่แปลกมาก แต่ที่น่าแปลกมากกว่านั้นคือเป็นเสียงของเด็ก!!! เสือร้ายหยุดลงอย่างแน่นิ่ง ทุกคนตะลึงกับเสียงที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เด็กคนนั้นคือใคร ปริศนาเฉลยภายในเสี้ยววินาทีพร้อมกับความประหลาดยิ่งกว่าอีกอย่างหนึ่ง เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้ชาย เดินออกมาจากแมกไม้รก ที่น่าประหลาดคือ เด็กคนนั้นเปลือยเปล่า เด็กชายเปลือยเดินมาหาเสือโคร่งอย่างใจเย็น มือเล็กๆนั่นลูบหัวสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดชนิดหนึ่งในโลก ให้หยุดนิ่งประหนึ่งสุนัขที่ได้รับการฝึกมา ทุกคนต่างตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลันเกิดเสียงจากคนต่างวัย เสียงหนึ่งดังขึ้น
"อาจจะเป็นการต้อนรับที่น่าตื่นเต้นไปหน่อยนะ แต่ก็ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ ผมรู้อยู่แล้วว่าซักวันหนึ่งคุณต้องมา"
นนท์ รู้สึกสะดุ้งกับเสียงๆนั้น มันเป็นเสียงที่ไม่น่าเชื่อ ชายเจ้าของเสียงนั่นเดินออกมาจากหมู่แมกไม้ ตัวของเขาเตี้ยกว่า ดร.นนท์ หนวดเครารุงรัง และหนามาก ที่สำคัญคือ ชายผู้นั้นเปลือยเช่นกัน นนท์ขยับแว่นกรอบหนาของเขาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
"ทะทะทะท่านศาสตราจารย์ ท่านใช่ไหมครับ" นนท์ นาคะเกียรติ์เอ่ยปากถาม เขามาเพื่อค้นหาการสูญหายของเสียงๆนี้ แต่ไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสได้ยินเสียงๆนี้ เบื้องหน้าของเขาภายใต้หนวดเครารุงรังนั้น คือ ศ.ดร.นิตย์ เดชธำรง นักโบราณคดีผู้ยิ่งใหญ่ของไทยและของโลก ในจิตใจของ ดร.นนท์ สับสนปนเปกันไปหมด นี่มันอะไร ทำไมท่านจึงยังอยู่ที่นี่ ท่านควรจะตายไปเมื่อสามปีที่แล้ว ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับท่าน แล้วทำไมท่านจึงเปลือยเปล่า!! ศาสตราจารย์ใหญ่เหมือนจะหยั่งรู้ในสิ่งที่เขาคิด ท่านเดินเข้ามาหาเขา
"คืนนี้ขอเชิญคุณ พักกับพวกเราก่อน แล้วทุกอย่างก็จะเคลียร์" พวกของท่าน!!! ดร.นิตย์ หันไปมองคนอื่นๆ แล้วตะโกนเป็นภาษาของเผ่าท้องถิ่น พลันมนุษย์อีก 5 คน ซึ่งเขาเห็นพวกนั้นไม่ถนัด แต่แน่นอน ทุกคนเปลือย คนเหล่านั้นเดินออกมาจากแมกไม้รับบริเวณนั้น มือกำผ้าคนละผืน พวกนั้นปิดตาทีมสำรวจทุกคน พวกมันจะพาพวกเขาไปไหน เขาไม่รู้ว่า ความน่ากลัว ความน่าสะพรึงกลัวอันใดจะเกิดขึ้นตามมาอีก แต่นั่นยังดีกว่าการที่จะตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งตัวนั้น นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายของ นนท์ นาคะเกียรติ์ ณ วันนั้น
แสงตะวันสาดส่องเหมือนหนึ่งแทงเข้าในขอบหนังตาของเขา นัยน์ตานั้นเริ่มปริสว่างขึ้น และลุกวาว นนท์ นาคะเกียรติ์ ตื่นขึ้นมา เขาไม่ได้มีความฝันสำหรับการหลับที่ผ่านไป เหลือบตามองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขา มันหายไป!! พลันจะล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อจะเอาของใช้บางอย่าง นนท์ก็ทราบในทันทีว่าเขาไม่ได้ใส่กางเกง!!! เขาไม่ได้ใส่เสื้อ!!! ใช่!! เขาเปลือยเปล่า!!! เหมือนคนพวกนั้นที่เขาเจอเมื่อคืน มันไม่ใช่ความฝัน!!! นนท์กลอกสายตามองไปรอบบริเวณ มันเป็นกระท่อมหลังเล็ก กะทัดรัด โครงของตัวกระท่อมทำจากไม้ในท้องถิ่น ฝาและหลังคามุงด้วยใบหญ้าแห้งๆที่นาได้บริเวณนั้น นี่มันที่ไหน!! เกรียงไกร สก๊อตต์ โรเบิร์ต และมุมโต้ พวกนั้นจะปลอดภัยรึเปล่า!! ศาสตราจารย์ใหญ่วัย 45 พยายามลุกขึ้น เขาไม่กล้าที่จะออกไปนอกกระท่อมด้วยร่างกายที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้าใดๆอย่างนี้
"จะเป็นอะไร พวกนั้นก็ไม่ได้จะทำร้ายเรา ดร.นิตย์ก็เป็นคนดี และมันก็แก้ผ้ากันหมด" ดร.ชื่อดังสบถกับตัวเอง เขาเปิดประตูและโผล่ตัวออกไปนอกกระท่อม ร่างกายที่เปลือยเปล่ารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของลม ที่พัดผ่าน ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย แต่นั่นยังไม่สามารถเทียบได้กับสภาพชุมชนที่เขาพบเห็น ยังมีกระท่อมอีกหลายหลังที่สร้างแบบเดียวกัน พลันเขาก็ได้เห็นผู้คนเปลือยเดินผ่านไปมา คนพวกนั้นทุกๆคนยิ้มแย้มให้เขา แต่เขาไม่ได้ยิ้มตอบเลย ใบหน้าแสดงถึงความตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ คนพวกนั้นไม่ใช่คนดำ ไม่ใช่คนท้องถิ่น อาจมีคนดำอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายเมื่อเทียบกับคนสีผิวอื่น ชนเผ่านี้มีทั้งชนผิวเหลือง ขาว ผมทอง ดำ และแดง มีทั้งชายและหญิง เดินไป เป็นความหลากหลายทางชนชาติที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน นี่มันอะไร!! คำถามในใจเกิดขึ้น ที่จริงมันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เขารู้ว่าคำตอบของทุกสิ่งกำลังใกล้เข้ามาเมื่อเขาใดที่เขาพบ ดร.นิตย์ เดชธำรง ผู้ที่คนทั้งโลกคิดว่าเสียท่านไปแล้ว แต่ในขณะที่ยังไม่เจอท่าน สายตาของเขาก็เพิ่มคำถามอีกมากมาย ไม่นานร่างเปลือยผิวขาว ผมทอง กับหนวดเครารกรุงรัง ก็เดินเขามาหาเขา ร่างนั้นก้มมองของลับของ ดร.นนท์ นาคะเกียรติ สองมือนั้นรีบปิดอวัยวะที่ไม่เคยได้แสดงต่อใครผู้ใดมาก่อน ชายเปลือยแหงนหน้าขึ้นมองตาเขา ปากนั้นส่งเสียงเป็นภาษาอังกฤษ "ผมล้อเล่นหรอก ผมรู้ว่าคุณยังไม่เคยเปลือยเปล่าเช่นนี้ ผมชื่อโรเจอร์ครับ ดร.นิตย์ และทุกๆคน กำลังรอคุณอยู่ ตามผมมาได้เลย" ชายที่บอกเขาว่าชื่อโรเจอร์เดินเบือนหน้าไปอีกทางแล้วเดินไป ดร.นนท์ เดินตามเขาอย่างไม่ลังเล เขาไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่าอยู่ดักดานในกระท่อมหลังนี้
ลมพัดโชยเย็น แต่ขนที่เคยลุกซู่เมื่อครั้งสัมผัสบรรยากาศครั้งแรกก็เริ่มปรับสภาพได้ สภาพบ้านเมืองของชุมชนคนเปลือยนี้ดูแล้วน่าอยู่มาก มันกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีซีเมน ไม่มีพลาสติก และแน่นอนไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่คนจะสวมใส่ เขาเดินตามโรเจอร์ผ่านผู้คนมาหน้าหลายตา หลายสีผิวมองเขาและยิ้มให้ เขาเบือนหน้ากลับมาทางฝรั่งเปลือยผู้นั้น
"อา..โรเจอร์ ผมมีอะไรจะถามคุณหน่อย" ศาสตราจารย์เอ่ยถาม แม้จะยังไม่เคยได้เสวนาอันใดกับโรเจอร์แต่เขากลับรู้สึกสนิทสนมกับชายผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก
"ผมเสียใจครับ ดร.นิตย์ บอกว่าท่านจะเป็นคนบอกเล่าทุกอย่างให้คุณฟังด้วยตัวเอง"
นนท์เข้าใจ นี่ช่างเป็นการปฏิเสธที่จริงใจซะเหลือเกิน
เขาทั้งคู่เดินมาใกล้จนใกล้ถึงศาลาหลังหนึ่ง ดร.นิตย์ กับทุกๆคนในทีมวิจัยนั่งรอเขา เขาตื่นเต้นมากที่ได้เจอคนเหล่านี้ แม้ทุกๆคนจะอยู่ในสภาพเปล่าเปลือยก็ตามแต่ทุกคนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
"มาเถอะ พวกเรากำลังรอคุณมารับประทานอาหารร่วมกัน" ศาสตราจารย์ที่ลึกลับที่สุดในโลกคนหนึ่งกล่าว ดร.นนท์ยิ้มรับ เขามองไปโดยรอบมันเป็นศาลามุงด้วยหญ้าขนาดใหญ่โอ่งโถง เป็นครั้งแรกที่นนท์ นาคะกียรติ์ เห็นสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้เป็นกระท่อม ไม่รู้ว่าเวลาต่อๆไป เขาจะได้เห็นอะไรที่เป็นสิ่งแรก ณ ดินแดนแห่งนี้อีก
"ทานอาหารกันดีกว่า อาจารย์" เกรียงไกรเชื้อเชิญ เขารู้สึกแปลกๆไป เขาสนิทกับเกรียงไกรพอสมควร แต่ก็อดเขินไม่ได้ที่จะพูดคุยกับลูกน้องเก่าในสภาพเปลือยเปล่าเช่นนี้ ที่แปลกกว่านั้นคือ อาหารนี่มีแต่พืช ผัก และผลไม้ นนท์ลองรับประทานดู มันอร่อยกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก กลืนคำแรกลงคอแล้ว
"พวกคุณมาที่นี่ได้ยังไงกันนี่" คำถามแรกจากปากนนท์ นาคะเกียรติ์ เล็ดรอดออกมาจนได้
"ดร.นิตย์ ส่งคนไปตามพวกเรามา เราอยู่กระท่อมคนละหลังกัน ท่านบอกว่าเราจะมารอคุณกันที่นี่ และจะร่วมทานอาหารกัน" สก๊อตต์ตอบ ชาวอังกฤษผู้นี้ดูไม่เหมือนกับชายที่โดยเสือโคร่งตัวยักษ์จ้องหน้าเมื่อคืนเลย โรเบิร์ตก็เหมือนเดิม เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ก็ดูร่าเริงขึ้นสังเกตได้จากใบหน้า แต่มุมโต้เองกลับดูร่าเริงเป็นพิเศษ
"มุมโต้ ทำไมคุณดูร่าเริงเป็นพิเศษนะเนี่ย" เป็นประโยคคำถาม ที่ไม่ใช่การแซวของ นนท์ นาคะเกียรติ์ เขาอดถามไม่ได้ที่เห็นชายดำร่างใหญ่นอกเสื้อซาฟารีดูร่าเริงเป็นอย่างมาก
"ผมคงต้องบอกพวกคุณทุกคนซะแล้วในวันนี้ นี่คือบ้านของผม" พวกเขาที่เหลือต่างมึนงง
"ผมเดินทางเข้ามาในป่านี้นานแล้วกับพ่อและแม่เมื่อยังเด็ก ช้างป่าตกมันตัวใหญ่โผล่มาในขณะที่พวกเรากำลังออกหาของป่า พ่อและแม่ตายคาตีนอันมโหฬารของมัน" มุมโต้หยุดพูด ราวกับไม่อยากเอ่ยถึงมัน
"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณ" สก๊อตต์ถามด้วยความอยากรู้
มุมโต้ที่คราวแรกดูท่าทางอึดอัดใจที่จะเล่า ก็เริ่มว่าต่อ "ผมรอดมาได้ ชายเปลือยคนหนึ่งเดินมาหยุดช้างตกมัน เขาวิ่งเข้ามาบังหน้าผม ตาจ้องไปที่ช้างแอฟริกันตกมันตัวนั้น ช้างสงบลง มันก้มตัวลงมา ชายคนนั้นลูบหัวช้างประหนึ่งสัตว์เลี้ยง แล้วจากไป" ทุกคนตะลึงกับเรื่องเล่าราวปาฎิหารย์
"ชายคนนั้นคือ ดร.เกมบัว เฮอนันเดซ หนี่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ดินแดนของเรา" เสียงจาก ดร.นิตย์ ยิ่งทำให้พวกเขาต่างงง แต่ก็เริ่มจะจับใจความได้
"ท่านช่วยมุมโต้ไว้ แล้วพาเขาออกไปนอกป่า มุมโต้ระลึกถึงสิ่งต่างๆได้ดี เขาต้องการกลับมาที่นี่ เขารู้สึกว่าท่านเกมบัวเหมือนประหนึ่งผู้ให้ชีวิตเขา" นนท์เข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับมุมโต้แล้ว แต่เขายิ่งสงสัยว่า นักโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์มาเกี่ยวอะไรด้วยในป่าแห่งนี้
ราวกับ นิตย์ ธำรงเดช อ่านใจของเขาได้
ท่านกล่าวต่อว่า "อย่างที่ทุกคนทราบ ศ.ดร.มาร์ติน จอห์นสัน และ ศ.ดร.เกมบัว เฮอร์นันเดซ ทั้งสองท่านเป็นบุคคลระดับรางวัลโนเบลของโลก ทั้งสองท่านเดินทางมาสำรวจหาแหล่งอารยธรรม ณ ป่าแห่งนี้ร่วมกัน แล้วพวกท่านก็ค้นพบ" ดร.นิตย์ หยุดกล่าว ราวกับจะให้คนอื่นๆร่วมถาม
"พวกท่านพบแหล่งอารยธรรมเหรอครับ?" โรเบิร์ตถามขึ้นมา บ๊อบไม่เคยเอ่ยปากอย่างตื่นเต้นขนาดนี้
"ท่านทั้งสองไม่ได้ค้นพบอารยธรรมอะไรที่พวกคุณคิดหรอก พวกท่านพบชายคนป่าเปลือยกลุ่มหนึ่งต่างหาก"
เงียบนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ "พวกท่าน มองเห็นคนเหล่านั้น ท่านทั้งสองจึงได้เห็นถึงชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง และเลือกที่จะทิ้งชีวิตแบบดั้งเดิมในสังคมของท่าน"
"สู่ดินแดนที่ไร้อารยธรรม??" สก๊อตต์ถามโผล่งขึ้นมา
ศาสตราจารย์ผู้ลึกลับ กล่าวตอบอย่างใจเย็น "อารยธรรมของพวกคุณคืออะไร คือเสื้อผ้า อาวุธ หน้ากาก ความรุนแรง และการหลอกลวงกระนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ดินแดนของเราก็คงไร้ซึ่งอารยธรรม"
นนท์ นาคะเกียรติ์เข้าใจในทุกอย่างแล้ว นักโบราณคดีระดับโนเบลเห็นถึงสัจธรรมอันเที่ยงแท้ สังคมมนุษย์ที่แสวงหาความสูงส่งของอารยธรรมทางวัตถุ แต่ในทางนามธรรมแล้ว มนุษย์กลับสูญเสียความสูงส่งของอารยธรรมทางจิตใจไป ความรุนแรง ความโลภ การหลอกลวง และสิ่งต่างๆอีกมากมาย เข้ามาทำลายความสูงส่งของสังคมจนทำให้มันเสื่อมโทรมลง มนุษย์ในวันนี้ใส่หน้ากากเข้าหากัน หน้ากากที่บดบังความเป็นตัวเอง
"ความเปลือยเปล่าก็เสมือนการเปิดเผย คือสังคมที่จริงใจ ไม่มีอะไรจะต้องปิดกัน" ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ กล่าวและมองตาศาสตราจารย์รุ่นพี่
"ถูกต้องแล้ว คุณเข้าใจผม และท่านทั้งสอง นี่คือสาเหตุที่ผู้คนมากมายค้นพบเราในช่วง 20 ปี มานี่ แล้วเลือกที่จะไม่กลับออกไป" เขาเข้าใจ และทุกๆคนต่างเข้าใจ คนหลายเชื้อชาติเป็นคนที่เข้ามาในฐานะต่างๆ ทั้งนักโบราณคดี นักเดินป่า นักพฤษศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเศรษฐีที่มาฮันนีมูน คนเหล่านี้พบเห็นความประเสริฐนี้ และเลือกที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไป โดยโลกคิดว่าเขาสาบสูญ นี่คือสาเหตุที่คนอื่นๆต่างลือกันว่านี่เป็นสังคมมนุษย์กินคน มนุษย์มองทุกอย่างที่ตัวเองไม่รู้อย่างเลวร้ายเสมอ
"สังคมของเรามีการแบ่งงานกันทำ มีหัวหน้า มีลูกน้องเหมือนสังคมปกติ เพียงแต่เราไม่ทำร้าย หรือหลอกลวงกัน อยู่กันอย่างสันติและช่วยเหลือกัน เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ และบริโภคอาหารจากพืช เรารู้จักนิสัยของสัตว์ป่า นี่คือสังคมที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างต้องเข้าใจกัน ความรุนแรงทำให้เกิดความรุนแรงกลับมา ความเข้าใจต่างหากที่ทำให้ทุกคนรวมทั้งสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ" คำพูดนั่นทำให้ทุกอย่างช่างกระจ่างชัดซะเหลือเกิน
ดร.นิตย์พาทุกคนเดินชมดินแดนแห่งนี้ การช่วยเหลือกัน รอยยิ้ม การแบ่งปัน และที่สำคัญคือความจริงใจ พบเห็นได้ตลอดในวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ มันช่างต่างจากดินแดนที่นนท์จากมา นนท์ย้อนถามตัวเองในใจว่าสังคมมนุษย์กำลังเจริญขึ้นหรือถอยหลังลงคลองกันแน่
"แล้ว นักโบราณคดีทั้งสองท่านอยู่ไหนแล้วครับ ท่านศาสตราจารย์" นนท์ นาคะเกียรติ์ ถามในสิ่งที่เขาปรารถนาจะทราบอย่างยิ่ง
"ท่านทั้งสองเสียชีวิตไปแล้วอย่างสงบ ท่านมีความสุขมากบนดินแดนนี้"
"ผมเสียใจด้วยจริงๆครับ"
"ไม่ต้องเสียใจหรอก พวกท่านไปสบายแล้ว ท่านทั้งสองตายหลังจากดำรงชีวิตอย่างสงบ ช่วยเหลือผู้คน พวกท่านจากไปท่ามกลางทุกๆคนที่รักพวกท่าน" ทุกคนต่างทราบซึ้งในคำพูดคำนั้น
"พวกคุณสามารถจะเลือกที่จะอยู่ที่นี่ได้นะ ถ้าพวกคุณต้องการ ผมรู้ว่าโลกภายนอกมันร้ายเพียงใด" นิตย์ เดชธำรงกล่าว
"ผมอยู่ครับ ผมไม่ต้องการไปไหนแล้ว นี่คือบ้านของผม" มุมโต้แสดงเจตจำนงอย่างชัดแจ้ง
ส่วนคนอื่นๆไม่มีทีท่าอย่างนั้น พวกเขาพบเห็นสิ่งเหล่านี้ นั่นทำให้พวกเขาเกิดความตั้งใจบางอย่าง ศาสตราจารย์ผู้สาบสูญกล่าวต่อพวกเขาอย่างรู้ทันความคิด
"แต่หากพวกคุณต้องการจะกลับไป เราจะพาคุณออกไปให้ ขอให้เรื่องราวของเรานี้เป็นความลับประหนึ่งเทพนิยายที่ไม่มีวันที่สังคมภายนอกจะได้รู้ความเป็นจริง ขอให้สร้างสังคมให้บริสุทธิ์กว่าที่มันเป็นนะ และขอให้ทุกๆคนโชคดี" คำพูดประหนึ่งคำอวยพร พวกเขาน้อมรับ ก่อนที่ชนเปลือยจะพาพวกเขาออกมาส่งถึงเกือบชายป่า แล้วจากหายไป
สุริยาดวงเดียวกัน บนโลกใบเดียวกันนี้กำลังจะสิ้นแสง นนท์ นาคะเกียรติ์ยืนมองภาพสนามบินแห่งชาติคองโกซึ่งมีคนเดินขวั่กไขว่ไปมา เขามองมัน แต่นึกถึงเรื่องราวที่พึ่งผ่านไป มันเหมือนเป็นความฝัน เขานึกขัน เขาเคยยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องหาคำตอบจากเผ่ากินคนให้ได้ แต่ในขณะนี้เขายืนอยู่ที่เดิมนั่น ด้วยความมุ่งมั่นที่เปลี่ยนไป เขาไม่มีคำถามใดๆต่อชนเผ่านั้นเลย แต่กลับมีคำถามมากมายกับแผ่นดินที่เขากำลังจะกลับไป เขาเหลือบมอง สก๊อตต์ และโรเบิร์ต สองคนนี้ก็คงคิดเช่นเดียวกับเขา ทั้งคู่กำลังจะกลับไปยังแผ่นดินของแต่ละคน สก๊อตต์เล่าว่าเขาจะกลับไปทำงานในองค์กรช่วยเหลือมนุษยชน ส่วนบ๊อบนั้น เขาวางแผนที่จะทำงานวิจัยต่อไป แต่จะวิจัยในเชิงสร้างสรรค์ และยึดความเป็นวัตถุนิยมให้น้อยลง พลันเหลือบตามองลูกน้องเก่าคนเก่งของเขา ดร.เกรียงไกร ธรรมกฤต ตัดสินใจไม่ต่างจากคนอื่นๆนัก เขาเลือกที่จะทำงานในฐานะนักโบราณคดีต่อไป แต่จะมุ่งเน้นถึงเรื่องจิตใจของมนุษย์ให้มากกว่าความเจริญทางวัตถุ ในแววตาแห่งความมุ่งมั่นของเกรียงไกร และอีกสองคน นนท์ นาคะเกียรติ์ เห็นถึงความอ่อนโยน ความสมาถะ ความจริงใจ อันเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน แต่ดินแดนอันเปลือยเปล่าเติมมันให้พวกเขาได้จนเต็ม นนท์คิดถึง ดร.นิตย์ และมุมโต้ ควรจะน่าเสียดายไหม ที่สังคมมนุษย์ภายนอกจะต้องขาดคนดีๆอย่างพวกเขา แต่ถ้ามองในทางกลับกัน น่าแสดงความยินดีต่อผู้คนในชุมชนนั้น พวกเขาพบความยิ่งใหญ่ของชีวิตแล้ว แต่ตัวของเขาล่ะ เขายังต้องการอะไรอีก ทำไมเขาไม่อยู่ ณ แดนเปลือยแห่งนั้นกับคนที่เหลือ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็คือทางที่เขาเลือก เขารู้สึกถึงจิตใจของตัวเองที่เปลี่ยนไป มันเป็นผลจากช่วงเวลาที่ชายที่ประสบความสำเร็จ ตีค่าชีวิตไว้ในแบบแผน เกือบตายด้วยอุ้งตีนเสือโคร่ง แต่สุดท้ายก็พบจุดสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วก็จากมันมา
ทันใดนั้นความคิดทุกอย่างก็ยุติลง นักข่าวมากมายวิ่งกรูเข้ามาหาเขาอย่างนกรู้ พวกนั้นรุมสัมภาษณ์ถึงการกลับมาราวกับปาฎิหารย์จากทีมสำรวจทุกคน เขาเพียงตอบไปว่า พวกเขาหาชนเผ่านั้นไม่พบ มันไม่น่าจะมีอยู่จริง แต่ภายในป่ามีสัตว์ร้ายมากมาย เป็นไปได้ว่าคนที่หายไปอาจตายไปแล้ว เขาไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ สังคมนี้ในบางครั้งก็หนีการโกหกไม่พ้นจริงๆ อาจจริงอย่างที่ ดร.นิตย์ ว่า "โลกภายนอกช่างเลวร้าย"
แสงแดดสีนวลส่องผ่านเข้ามาในห้อง เป็นภาพของแมวขนปุกปุยสีขาวกำลังกินอาหารที่เจ้าของเลี้ยงมันอย่างเอร็ดอร่อย เครื่องให้อาหารทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ หนุ่มใหญ่วัย 45 ปีผู้เป็นเจ้าของเดินเข้ามาหามัน เขาจ้องและพูดกับมัน "ข้าว่าข้าเข้าใจโลกมากขึ้นแล้ว การเดินทางอันแสนไกลทำให้ข้าได้รู้ซึ้งว่าสิ่งที่เราทำอยู่ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราแสวงหาจริงๆก็ได้ เอ็งต้องรู้จักรับอะไรในด้านอื่นบ้างเหมือนที่ข้าได้มา" เขาปิดเครื่องให้อาหารนั้น แล้วเปิดกรงให้แมวน้อยน่ารักเดินออกมา "พรุ่งนี้ข้าจะพาเอ็งออกไปเดินเล่น เอ็งอยู่ในกรงนี้มานานเกินไปแล้ว" นนท์ นาคะเกียรติ์ ลูบหัวเจ้าแมวนั่น เขายิ้ม คืนนี้เขานอนอย่างมีความสุขในบ้านที่เขาจากมาหลายวัน
วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
แดนเปลือย (The Naked Land) ภาค 1
"อารยธรรมของพวกคุณคืออะไร คือเสื้อผ้า อาวุธ หน้ากาก ความรุนแรง และการ- หลอกลวงกระนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ดินแดนของเราก็คงไร้ซึ่งอารยธรรม"
เขาเป็นนักโบราณคดีหนุ่มซึ่งกำลังโด่งดังในเรื่องการศึกษาภูมิปัญญาและอารยธรรมของประเทศ ปริญญาเอกสองใบจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาส่งผลให้เขามีโอกาสได้รับทุนวิจัยในการศึกษาเรื่องราวทางอารยธรรมต่างๆ เขาเดินทางไปทั่วเพื่อศึกษา เปรียบเทียบอารยธรรมบ้านเชียงของไทย กับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ จีน เมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก ไซปรัส เขมร รวมถึงโรมัน หลังจากที่ ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ ได้เดินทางไปทั่วโลกแล้ว เขาได้กลับมาสร้างความฮือฮาที่สุดในวงการประวัติศาสตร์ไทย เขาค้นพบเส้นทางชลประทานที่บ้านเชียง รวมทั้งยังพบเครื่องมือทันสมัยในยุคนั้นเช่นรอก และคาน ซึ่งอยู่ตามตำแหน่งที่ ดร.นนท์ได้คำนวณไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เขาสามารถค้นหาแห่งอารยธรรมใหม่ๆได้มากมาย จากการสำรวจและคำนวณว่าพื้นที่บริเวณไหนน่าจะเป็นที่ตั้งของแหล่งชุมชนในอดีต เขายังสร้างชื่อในต่างประเทศอีกด้วย เขาค้นพบแหล่งอารยธรรมในเวียตนาม เกาะไต้หวัน รวมทั้งสามารถแปลภาษาโบราณของอียิปต์ได้อย่างละเอียด จนทำให้วงการประวัติศาสตร์ของโลกตื่นตะลึงมาแล้ว งานวิจัยของเขาสร้างประโยชน์มากมายให้แก่สังคมโลก เขาได้เป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุ 40 ปี นิตยสารชื่อดังของต่างประเทศนำใบหน้าขาวๆ ใส่แว่นกรอบหนาสีดำ กับเสื้อเชิร์ตเก่าๆสีขาวแกมเหลืองอันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาไปแล้วตามกาลเวลามาเป็นภาพขึ้นปก ยกย่องเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์แห่งทศวรรษ รวมทั้งถูกเสนอชื่อขึ้นรับรางวัลโนเบลด้วย
แสงแดดสีนวลส่องผ่านเข้ามาในห้อง เป็นภาพของแมวขนปุกปุยสีขาวกำลังกินอาหารที่เจ้าของเลี้ยงมันอย่างเอร็ดอร่อย มันอยู่ในกรงนี้มานานแล้วนับตั้งแต่เขาซื้อมันมาจากสวนจัตุจักร มันไม่มีความจำเป็นต้องออกไปจากกรงนี้ ในเมื่อเจ้าของเลี้ยงดู ให้อาหารมันอย่างดี หนุ่มใหญ่วัย 45 ปีผู้เป็นเจ้าของ มองตัวเองในกระจก สายตาคู่นั้น เขาอาจจะเป็นคนเดียวล่ะมั้งที่เคยเห็นตัวเองตอนไม่ใส่แว่นตากรอบหนาอันนั้น ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ จ้องภาพที่สะท้อนกับกระจกเงา "กูคือคนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงจากการค้นพบอะไรมากมาย แต่ทำไม ทำไมกูยังเหมือนกับว่ากูต้องการอะไรอีก กูควรจะหยุดและพักผ่อนมั้ย" นนท์กล่าวกับตัวเอง เขาไม่เข้าใจ นี่อาจเป็นกิเลสของคน อายุขนาดนี้เขาควรจะทำงานในห้องทำงาน กินเงินเดือนสูงๆ มีลูกมีเมียได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงอยากเดินทางไปเพื่อหาอะไรต่อมิอะไรมากมาย เขายิ้ม และมองไปที่เจ้าแมวน่ารักซึ่งกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยตัวนั้น "ข้าอาจจะเหมือนกับเองก็ได้นะ การเดินทางคือชีวิตของข้า ถ้าข้าขาดมันก็คงเหมือนเอ็งขาดอาหาร เราคงตาย" เขาเบือนหน้ากลับมาที่เตียงของเขา มีกระเป๋าเดินป่าใบใหญ่วางอยู่ กับเสื้อผ้า และของใช้ สะเปะสะปะไปหมด เขาเก็บของ เช็คพาสปอร์ตที่เตรียมจะใช้เดินทาง และไม่ลืมที่จะตั้งเครื่องให้อาหารแมวนั้นไว้เนื่องจากเขาคงต้องจากมันไปหลายวัน ดร.นนท์ กำลังจะไปแอฟริกา
เขาเคยได้ยินเรื่องชนเผ่ากินคนลึกลับในคองโกมานานแล้ว คนต่างชาติมากมายหายไปในป่าดงดิบในการสำรวจทางโบราณคดี นี่รวมถึงนักโบราณคดีชื่อก้องโลกในอดีตอีกหลายคน เริ่มจาก ศ.ดร.มาร์ติน จอห์นสัน และ ศ.ดร.เกมบัว เฮอร์นันเดซ นักโบราณคดีระดับรางวัลโนเบลของสหรัฐฯ และเสปน ซึ่งทั้งสองหายไปร่วม 20 ปีแล้ว นักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์ นักเดินป่า นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลายต่อหลายคนก็หายไปในดินแดนนี้ และที่สำคัญเมื่อราวๆ 3 ปีที่แล้ว ยังมีนักโบราณคดีชื่อดังของไทยด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นิตย์ เดชธำรง ผู้โด่งดังก้องโลกในวงการโบราณคดีหลังจากการค้นพบหลักฐานเส้นทางการติดต่อระหว่างเมโสโปเตเมียกับอารยธรรมสินธุ ก็กลายเป็นบุคคลสาบสูญไปด้วย ดร.นิตย์ อายุแก่กว่าเขาพอสมควร พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่เขากลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ เขาเข้ามารับหน้าที่เป็นนักวิจัยที่คอยช่วยเหลือท่าน ท่านเป็นคนให้การสนับสนุนเขามาตลอด สั่งสอนให้ความรู้เขา เขายังจำคนคนนี้ได้ดี ดร.นิตย์เคยบอกเขาว่า "อารยธรรมคือเครื่องแสดงความเจริญ เราเป็นนักโบราณคดี เราต้องทำหน้าที่แสดงความเจริญนี้ออกมาสู่สาธารณะ อย่าให้มันสาบสูญไปกับกาลเวลา" มันเป็นประโยคที่ให้กำลังใจในการทำงานแก่เขามาตลอด เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ ดร.นิตย์เป็นคนเก่ง และนิสัยดี ท่านมาที่นี่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพื่อหาชนเผ่ากินคน และช่างโชคร้ายที่ท่านพบ นี่ไม่ใช่ข่าวโคมลอย ทางการคองโกทราบเรื่องว่า ดร.นิตย์ กลายเป็นเหยื่อของชนเผ่านี้จากหนังสือการเดินทางของเขา ดร.นิตย์ จะมีติดตัวไว้ตลอด หน้าสุดท้ายท่านพรรณนาว่าท่านพบมันแล้ว และกำลังจะสะกดรอยตามไป ไม่มีข้อความใดๆหลังจากนั้น ทางการบุกเข้าไปช่วยเหลือแต่ก็ไม่พบ ศพของคนเหล่านี้ไม่เคยได้พบเห็นเลย คองโกดูเป็นแผ่นดินอันตรายสำหรับนักวิจัยแบบพวกเขา แต่นนท์ นาคะเกียรติ์ ไม่กลัว ไม่แน่มันอาจเป็นกิเลสอีกอย่างของเขา เขาชอบเดินทาง ชอบเสี่ยง และแน่นอนเขาต้องการหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับ ดร.นิตย์ เดชธำรง
ณ แผ่นดินแห่งความลึกลับกำลังจะได้ต้อนรับผู้มาเยือนที่คาดไม่ถึง เครื่องบินลำเล็กลงจอดที่สนามบินรัฐคองโก ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ เดินลงมาจากเครื่อง พลันนักข่าวมากมายจากหลากหลายประเทศก็เข้ามารุมล้อมเขา การมาของ ดร.นนท์ เป็นข่าวดังมากในวงการวิจัยเกี่ยวกับโบราณคดี เรื่องนี้ทำให้เผ่ากินคนในคองโกกลับมาโด่งดัง และพูดถึงกันมากอีกครั้ง ถ้าเป็นคนอื่นคงตื่นตะลึง แต่ ดร.นนท์ ชินกับเรื่องแบบนี้เขาพบนักข่าวมากมายมาตลอดในชีวิตการทำงานของเขา พวกนี้โผล่มาตอนเขาโด่งดัง และคงจะจากไปหากงานของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของคนพวกนี้ก็ได้ นนท์ นาคะเกียรติ์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวซักพัก ไม่นานก็มีเสียงตะโกนออกมาจากนอกวง
"ท่านศาสตราจารย์ครับ รถซาฟารีพร้อมแล้วครับ ท่านจะไปเลยรึเปล่าครับ"
"ไปเลยสิ ขอบใจมาก เกรียงไกร" นนท์ นาคะเกียรติ์ ตอบผู้ส่งเสียงหนุ่มหล่อตัวสูงใหญ่ผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึก
เขาเดินฝ่ากลุ่มนักข่าว แล้วขึ้นไปนั่งข้างหลังรถซาฟารีคันนั้น ซึ่งจอดอยู่ห่างไม่ไกล คนขับเป็นคนผิวดำรูปร่างใหญ่ใส่ชุดลาย คงชาวพื้นเมืองคองโก เกรียงไกรขึ้นรถมานั่งข้างๆคนขับ รถเริ่มออกเดินทาง
"ขอบใจอีกครั้งนะเกรียงไกร ที่มาดูแลผมอย่างดี"
"โธ่ท่านศาสตราจารย์ครับ ท่านมีบุญคุณกับผมขนาดนี้ ถ้าผมรู้ว่าท่านจะมา แถมมาดูงานวิจัยของผมด้วย จะไม่ให้ผมดูแลท่านได้ยังไง"
ดร.เกรียงไกร ธรรมกฤต เป็นอดีตนักวิจัยที่ทำงานร่วมกับ ดร.นนท์ มาตั้งแต่ครั้งขุดหาอารยธรรมบ้านเชียง ก่อนจะออกมาทำงานวิจัยอันสุดจะอันตรายนี้
"งานไปถึงไหนแล้วหรือเกรียงไกร ได้อะไรบ้าง"
"ก็ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ครับท่าน เราพยายามหาชนเผ่าอานารยชนเผ่านี้ในป่าบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของคองโกมานานหลายเดือนแล้ว แต่ไม่พบอะไรเลย นี่ขนาดผมอาศัยบันทึกการเดินทาง และงานวิจัยของ ดร.นิตย์ ช่วยแล้วนะครับ คองโกเป็นป่าดงดิบครับ การจะเดินลุยเข้าไปยากลำบากจริงๆ" เกรียงไกรตอบอย่างเปิดเผย นั่นเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินนี้ที่เขาได้ยินชื่อ ดร.นิตย์ เดชธำรง
เกรียงไกรกล่าวต่อว่า "ก็หวังให้ท่านศาสตราจารย์ช่วยผมล่ะครับ ท่านคงจะพอกำหนดจุดบริเวณได้เพื่อเราจะได้ค้นหาต่อไป"
"ไม่มีปัญหาหรอกเกรียงไกร แต่ก่อนอื่นน่ะ เรียกผมว่า อาจารย์ ก็พอ"
พวกเขาเดินทางมาเกือบถึงป่า บริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของทีมวิจัยของ ดร.เกรียงไกร หนุ่มนักโบราณคดีผู้เป็นเจ้าบ้านพาเขาเข้าไปชมสถานที่ปฏิบัติงานซึ่งเป็นกระท่อมสองหลัง ใหญ่กับเล็ก มุงด้วยหญ้าเป็นหลังคา งานนี้เป็นงานที่ท้าทายสำหรับนนท์มาก เขาเคยค้นพบแต่อารยธรรมที่ดับสูญไปแล้ว แต่วันนี้เขากำลังจะต้องเผชิญกับชุมชนกินคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจอกัน
"อาจารย์ครับ นี่ สก๊อตต์ นี่ โรเบิร์ต และนี่ ลืมแนะนำให้อาจารย์รู้จัก เขาชื่อ มุมโต้ครับ" เกรียงไกรชี้ไปที่คนดำร่างใหญ่ในชุดลายพรางที่พาพวกเขามายังที่นี่
"สองคนแรกเป็นผู้ช่วยของผมมาจากอังกฤษ และสหรัฐฯ คนหลังนี่เป็นนักเดินป่าท้องถิ่น ที่จะพาเราเข้าไปวันพรุ่งนี้ครับ"
ดร.นนท์ ทำความรู้จักกับทุกคน สก๊อตต์เป็นฝรั่งหัวทอง ผมสั้น ตัวเล็กประมาณคนไทยนี่แหละ เขาเป็นคนคุยสนุก เขาเล่าว่าเขาเบื่อชีวิตสุขนิยมที่อังกฤษซะเหลือเกินเลยตัดสินใจมาร่วมงานกับ ดร.เกรียงไกร คราวนี้ถึงแม้จะเสี่ยง และความพยายามหลายเดือนจะยังไม่สำเร็จผล แต่ก็ไม่น่าเบื่อเท่าชีวิตในอังกฤษที่เขาต้องทนอยู่มาทั้งชีวิต ส่วนชายร่างสูง ผอม ใส่แว่นหนาอย่างโรเบิร์ตนั้นต่างออกไป เขาเป็นนักวิจัยมืออาชีพ เขากระหายความสำเร็จ จึงตัดสินใจมาร่วมงานอันตรายนี้ทันทีที่ ดร.เกรียงไกร ชวนเขามา บ๊อบเป็นคนพูดน้อย และจริงจัง ส่วนมุมโต้นั้นมาใหม่ เขาเป็นนักเดินป่าคนที่ 5 แล้วที่ทีมวิจัยเปลี่ยนมา เพราะคนก่อนๆต่างกลัวงานนี้หมด นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้งานล่าช้า นอกเหนือจากความหนาทึบของป่า
นนท์ นาคะเกียรติ์ เข้าที่พักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ตรงกระท่อมหลังเล็กหลังจากร่วมรับประทานอาหารกับทีมวิจัยนี้เสร็จ เป็นอาหารง่ายๆ พออิ่ม เขาต้องนอนให้เต็มที่เพื่อการเดินทางในวันพรุ่งนี้
เบื้องหน้าของเขาคือสีไฟสีแดงสลับเขียวสลับน้ำเงิน แปรเปลี่ยนมั่วไปหมด นนท์กำลังสับสน เขาเห็นเกรียงไกร และทีมวิจัยหายไปกับแสงไฟเหล่านั้น พลันมนุษย์รูปร่างใหญ่น่ากลัว เขี้ยวหนาและเลือดที่ไหลนองเขี้ยวของมันทำให้มันยิ่งทวีความน่ากลัว พวกมันหลายร้อยคนรุมล้อมเขา ตัวของพวกมันอาบไปด้วยเลือด มือของมันบางตัวกำเครื่องในของมนุษย์อยู่ เล็บของมันยาวดูน่ากลัว พวกมันกำลังเดินเข้ามาหาเขา ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา พลันทุกอย่างก็หายไป และแล้วก็เป็นใบหน้าของ ดร.นิตย์ เดชธำรง เข้ามา ท่านศาสตราจารย์ยิ้มให้แก่เขา เขากำลังจะยิ้มตอบ ทันใดนั้นความดำมืดเข้ามาแทนที่ เขามองไม่เห็นอะไรเลย
"ท่านศาสตราจารย์!!!" นั่นเป็นเสียงแรกของเขาในวันใหม่ นนท์ นาคะเกียรติ์ สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันนั้น เหงื่อตกพราก เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาอาจจะกินอะไรผิดสำแดงเข้าไป หรืออาจเป็นเพราะการนั่งเครื่องบินมาหลายชั่วโมง หรืออาจเป็นผลของการปรับเวลาใหม่บนแผ่นดินใหม่ก็ได้ เขาหวังให้เป็นเช่นนั้น นนท์เหลือบสายตามองไปรอบข้าง ไม่เห็นคนในทีมวิจัยเลย เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปหน้ากระท่อม เกรียงไกรกำลังออกกำลังบริหารร่างกายอยู่ กล้ามเนื้อของเกรียงไกรดูแข็งแกร่งเหลือเกิน เขาต้องมีร่างกายที่พร้อมสำหรับการทำงานหนักอย่างนี้ นนท์นึกถึงเขาสมัยหนุ่มและยิ้ม เมื่อก่อนเขาก็มีร่างกายที่ฟิตเหมือนกัน ก่อนอะไรๆจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา กล้ามเนื้อที่เคยแน่นหนาก็เหี่ยวย่นลงไป หนุ่มนักวิจัยหันมาเห็นท่านศาสตราจารย์
"ท่านศาดเอ้ย อาจารย์ครับ นอนพักผ่อนก่อนได้ครับ เราคงจะเดินทางตอนสายๆครับ"
"อือ ก็ดี แต่ผมขอออกกำลังกายด้วยคนสิ" หนุ่มใหญ่กล่าวตอบ เขาเดินออกไปนอกกระท่อม ความกระชุ่มกระชวยของวัยหนุ่มเหมือนหวนกลับมาอีกครั้ง เขาไม่ได้คิดใส่ใจอะไรกับความฝันนั้นเลย หรือเขาอาจพยายามที่จะลืม
มุมโต้ชายร่างใหญ่ผิวดำในชุดลายพราง ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงการผ่านอะไรมาอย่างโชกโชน เกรียงไกรเล่าถึงมุมโต้ชายผู้เงียบขรึมคนนี้ว่า เขาเป็นนักเดินป่ามาตั้งแต่เด็ก เกรียงไกรเล่าว่าขณะมุมโต้ออกเดินป่าในวัยเด็กกับพ่อแม่ ครั้งหนึ่งพ่อแม่ของเขาต้องตายจากช้างแอฟริกันตกมัน วิ่งไล่ และเหยียบคนไม่เลือกหน้า แต่เขารอดตายมาอย่างปาฏิหารย์ และกลับออกมานอกป่า มาอยู่กับปู่ย่าที่เฝ้าตามหาเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหตุการณ์นั้นอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มุมโต้ดูเป็นคนลึกลับ เงียบขรึม ไม่มีใครรู้ว่าเขารอดมาได้ยังไง มุมโต้ไม่เคยเอ่ยกับใคร มุมโต้กำลังเตรียมสัมภาระทั้งหมดเพื่อการเดินทาง เขาเตรียมอาวุธครบมือ ปืนไรเฟิ้ลที่พร้อมจะปลิดชีพศัตรูผู้ไม่ได้รับเชิญก่อนที่มันจะทำอะไรที่ไม่คาดคิด ถัดไปนิดเดียวสก๊อตต์กำลังเตรียมอาหารมื้อสุดท้ายในสถานีนี้ให้แก่พวกเรา รวมทั้งเสบียงที่จะใช้เดินทาง หนุ่มอารมณ์ดีอายุน่าจะราวๆซัก 30 ต้นๆ ชอบทำอาหารมาก นนท์คิดว่าบางทีถ้า สก๊อตต์ไม่เป็นนักโบราณคดี เขาคงจะรวยจากการเป็นพ่อครัวใหญ่แน่ ขณะเดียวกันโรเบิร์ตก็กำลังเตรียมอุปกรณ์สำรวจทันสมัยอย่างขมั่กเขม่น มันจำเป็นมากเพื่อป้องกันอันตรายหากมีสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้เข้ามาใกล้ หรือไม่แน่มันอาจจะทำให้เรารู้ว่าเราใกล้ถึงอานารยชนเผ่านั้นแล้ว ดร.นนท์ กลับเข้ามาในกระท่อมนั่งลงบนเก้าอี้ เขาเริ่มดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ มี ดร.เกรียงไกร นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"ผมเสนอให้เราเดินทางในทิศทางนี้ ตรงนี้เป็นเขตป่าดงดิบที่หนาทึบ ในทางประวัติศาสตร์ของโบราณคดี ชาวป่ามักอยู่ตรงบริเวณนี้ของป่า" เกรียงไกรกล่าว
"คุณพูดมีเหตุผล ตรงเขตบริเวณนั้นก็เป็นไปได้ แต่ควรจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ผมเชื่อว่าชนเผ่านี้จะออกล่าเหยื่อซึ่งน่าจะเป็นพวกสัตว์ป่าที่มากินน้ำนะ" ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ชี้นิ้วลงบนแผนที่ เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มเดินทางที่จะน่าสะพรึงกลัว…
บริเวณนี้ของคองโกเป็นที่โล่งมาก ดร.นนท์ สามารถมองเห็นไปถึงเขตชายป่านั้นได้เลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาแอฟริกา เขาเคยไปร่วมขุดหาอารยธรรมที่อียิปต์ ไนจีเรีย รวมถึงซิมบัคเวย์มาแล้ว แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่กี่อึดใจ รถซาฟารีก็จอด มันเข้าไปในป่าไม่ได้แล้ว พวกเขาลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ออกมาพบพวกเขา พูดภาษาท้องถิ่น มุมโต้คุยกับพวกนั้นอย่างรู้เรื่อง
"นายครับ เขาบอกว่าให้ฝากรถไว้บริเวณนี้ และท่านผู้อำนวยการป่านี้ได้ให้วิทยุสื่อสารไว้ เพื่อให้พวกเราติดต่อกับเขาหากเกิดภาวะฉุกเฉิน" นั่นเป็นประโยคภาษาอังกฤษ หรือทุกๆภาษาที่มุมโต้พูดยาวที่สุด นับตั้งแต่นนท์รู้จักเขามา รัฐบาลคองโกรอบคอบมาก พวกเขาเรียนรู้แล้วว่าการหายไปของนักโบราณคดีระดับโลกทำให้ประเทศของเขาดูแย่เพียงใด พวกเขาคงไม่อยากให้พลาดอีก เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยังพูดต่อกับมุมโต้ และตบไหล่เขา นนท์ นาคะเกียรติ์ ถามเขาด้วยความสงสัย
"พวกนั้นพูดว่าอะไรหรือ?"
"เขาว่า พวกเราแน่มากที่กล้าเสี่ยงขนาดนี้ และขอให้โชคดี"
ท่านศาสตราจารย์ยิ้มแหยๆ หวังว่านี่คงเป็นคำอวยพร
พวกเขาเดินเลยจากชายป่ามาซักพักแล้ว นานพอที่จะมองกลับไปไม่เห็นขอบแห่งพงไพรนี้ มุมโต้ เป็นคนถือแผนที่ และเข็มทิศ เขาพา นนท์ และคนในทีมไปตามทางที่กำหนดไว้ ในป่าดงดิบอะไรๆก็เหมือนกันไปหมด ต้นไม้ หญ้า ดิน นนท์ นาคะเกียรติ์ ไม่รู้เลยว่าเขากำลังอยู่ตรงไหนแล้ว เขาเดินทางตามนักเดินป่าไปไป ตามทิศทางที่เข็มทิศเป็นผู้กำหนดให้เดิน
"คุณเคยกลัวมั้ยที่ต้องมาจับงานแบบนี้?" นนท์ถาม ดร.เกรียงไกร ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น มันไม่ใช่คำถามเพื่อทำลายความเงียบ แต่เขาอยากรู้จริงๆ
"ผมตัดความกลัวทิ้งไปหมดแล้วครับอาจารย์ ผมเลือกที่จะทำมันเอง ใจผมรัก ผมว่า ดร.นิตย์ ท่านก็คงคิดเช่นนี้ตอนท่านมาที่นี่" อีกครั้งที่เขาได้ยินชื่อท่านจากปากของเกรียงไกร ศาสตราจารย์ผู้หายสาบสูญยังคงมีอิทธิพลต่อคนรุ่นต่อๆมาอย่างคาดไม่ถึง ทันใดนั้นเสียงที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น "ขะ ขะ ขะ เข็มทิศ มันไม่หมุนแล้ว" มุมโต้ไม่เคยพูดตะกุกตะกักเช่นนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่มุมโต้รู้ เช่นเดียวกับที่คนอื่นรู้ว่า ถ้ามันเกิดขึ้นพวกเราจะเป็นยังไง "แล้วเราจะทำยังไงกันเนี่ย" สก๊อตต์ถามหลังจากตะลึงกับเสียงของมุมโต้ "อาจเป็นเพราะพายุสุริยะที่ทำให้อุปกรณ์แม่เหล็กเสียหาย เราคงจะหลงป่าแล้ว" โรเบิร์ตตอบ หนุ่มคนนี้ยังดูเยือกเย็นเหมาะสมเป็นนักโบราณคดีอย่างแท้จริง เกรียงไกรหัวหน้าทีมลองติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้แต่มันไม่ได้ผล พายุสุริยะคงทำลายอุปกรณ์สื่อสารนี่ด้วย "อาจารย์ครับ เราลองให้สัญญาณไฟ หรือเรียงใบไม้เป็นสัญญาณที่พื้นดีไหมครับ" เกรียงไกรถามผู้มีประสบการณ์ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง "ไม่มีประโยชน์หรอก ป่าบริเวณนี้ทึบมา ไม่มีทางที่เฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลคองโกจะเห็นเราได้ ตอนนี้เราต้องหาทิศทางให้ได้ก่อน" นนท์ นาคะเกียรติ์ตอบลูกน้องเก่าอย่างใจเย็น "ยังไงครับ" สกอตต์ถามด้วยเสียงอยากรู้ นนท์ยังไม่ตอบอะไรเขาเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ลูบมัน และยื่นมือที่ลูบนั่นให้ทุกคนดู ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขา มือของท่านศาสตราจารย์มีสีเขียว มันคือมอส พืชที่ขึ้นเกาะลำต้นของต้นไม้ใหญ่
"มอสจะขึ้นตรงทิศตะวันออก เพื่อรับแสงแดด เราคงจะพอคลำทางออกไปได้" ทุกคนดูโล่งออก แต่นนท์รู้ว่าปัญหามันไม่ได้จบแค่นี้แน่ เขาไม่อยากให้คนอื่นตื่นผวา ต้นไม้บริเวณอื่นไม่มีต้นมอสขึ้นมาเกาะ แต่เวลาอาจช่วยให้เขาพอคิดทางรอดได้ มุมโต้มองตาเขาอย่างรู้ทัน คนดำในชุดพรางมีหรือจะไม่รู้ว่าการหลงป่าดงดิบแบบนี้ไม่มีทางออกไปได้ มุมโต้รู้และรู้ยิ่งกว่านั้น นักเดินป่ารู้ว่านนท์คิดอะไร และรู้จักที่จะเงียบ
ท่ามกลางหมู่มวลไม้ที่หนาทึบ เวลาเย็นแทบจะเหมือนกลางคืน ยากที่แสงตะวันจะสอดส่งถึงพวกเขาได้ ทีมสำรวจเดินทางต่อไป ตามหาต้นมอสที่ติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ในป่าดงดิบ ไม่นานการตามหามอสที่เกาะติดกับลำต้นไม้ก็สิ้นสุด มันไม่มีอีกแล้ว ต้นไม่บริเวณนี้ไม่มีมอสมาเกาะเลย พวกเขาเหมือนเดินมาถึงทางตัน "อาจารย์ครับ" วลีสั้นๆกับแววตาของเกรียงไกร มันสื่อความหมายที่มากมายมหาศาลยิ่งนัก นนท์รู้ว่าทุกอย่างจะต้องเป็นอย่างนี้ เพียงแต่มันเร็วเกินไป เร็วเกินว่าที่เขาจะพอหาทางออกอย่างอื่นได้ "ผมขอเสนอให้เราพักตรงนี้ ในคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยหาทางกันต่อ วันนี้ดึกมากแล้ว" ท่านศาสตราจารย์พูด ทุกคนต่างเห็นด้วยกับ นนท์ นาคะเกียรติ์ พวกเขาต่างดูใจเย็น นนท์รู้ว่าทำไมคนอื่นๆจึงใจเย็นได้ขนาดนั้น ทุกคนเชื่อในภาวะผู้นำของนักโบราณคดีที่คว่ำหวอดในวงการอย่างเขา เขาไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวัง
เขาเป็นนักโบราณคดีหนุ่มซึ่งกำลังโด่งดังในเรื่องการศึกษาภูมิปัญญาและอารยธรรมของประเทศ ปริญญาเอกสองใบจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาส่งผลให้เขามีโอกาสได้รับทุนวิจัยในการศึกษาเรื่องราวทางอารยธรรมต่างๆ เขาเดินทางไปทั่วเพื่อศึกษา เปรียบเทียบอารยธรรมบ้านเชียงของไทย กับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ จีน เมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก ไซปรัส เขมร รวมถึงโรมัน หลังจากที่ ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ ได้เดินทางไปทั่วโลกแล้ว เขาได้กลับมาสร้างความฮือฮาที่สุดในวงการประวัติศาสตร์ไทย เขาค้นพบเส้นทางชลประทานที่บ้านเชียง รวมทั้งยังพบเครื่องมือทันสมัยในยุคนั้นเช่นรอก และคาน ซึ่งอยู่ตามตำแหน่งที่ ดร.นนท์ได้คำนวณไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เขาสามารถค้นหาแห่งอารยธรรมใหม่ๆได้มากมาย จากการสำรวจและคำนวณว่าพื้นที่บริเวณไหนน่าจะเป็นที่ตั้งของแหล่งชุมชนในอดีต เขายังสร้างชื่อในต่างประเทศอีกด้วย เขาค้นพบแหล่งอารยธรรมในเวียตนาม เกาะไต้หวัน รวมทั้งสามารถแปลภาษาโบราณของอียิปต์ได้อย่างละเอียด จนทำให้วงการประวัติศาสตร์ของโลกตื่นตะลึงมาแล้ว งานวิจัยของเขาสร้างประโยชน์มากมายให้แก่สังคมโลก เขาได้เป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุ 40 ปี นิตยสารชื่อดังของต่างประเทศนำใบหน้าขาวๆ ใส่แว่นกรอบหนาสีดำ กับเสื้อเชิร์ตเก่าๆสีขาวแกมเหลืองอันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาไปแล้วตามกาลเวลามาเป็นภาพขึ้นปก ยกย่องเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์แห่งทศวรรษ รวมทั้งถูกเสนอชื่อขึ้นรับรางวัลโนเบลด้วย
แสงแดดสีนวลส่องผ่านเข้ามาในห้อง เป็นภาพของแมวขนปุกปุยสีขาวกำลังกินอาหารที่เจ้าของเลี้ยงมันอย่างเอร็ดอร่อย มันอยู่ในกรงนี้มานานแล้วนับตั้งแต่เขาซื้อมันมาจากสวนจัตุจักร มันไม่มีความจำเป็นต้องออกไปจากกรงนี้ ในเมื่อเจ้าของเลี้ยงดู ให้อาหารมันอย่างดี หนุ่มใหญ่วัย 45 ปีผู้เป็นเจ้าของ มองตัวเองในกระจก สายตาคู่นั้น เขาอาจจะเป็นคนเดียวล่ะมั้งที่เคยเห็นตัวเองตอนไม่ใส่แว่นตากรอบหนาอันนั้น ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ จ้องภาพที่สะท้อนกับกระจกเงา "กูคือคนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงจากการค้นพบอะไรมากมาย แต่ทำไม ทำไมกูยังเหมือนกับว่ากูต้องการอะไรอีก กูควรจะหยุดและพักผ่อนมั้ย" นนท์กล่าวกับตัวเอง เขาไม่เข้าใจ นี่อาจเป็นกิเลสของคน อายุขนาดนี้เขาควรจะทำงานในห้องทำงาน กินเงินเดือนสูงๆ มีลูกมีเมียได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงอยากเดินทางไปเพื่อหาอะไรต่อมิอะไรมากมาย เขายิ้ม และมองไปที่เจ้าแมวน่ารักซึ่งกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยตัวนั้น "ข้าอาจจะเหมือนกับเองก็ได้นะ การเดินทางคือชีวิตของข้า ถ้าข้าขาดมันก็คงเหมือนเอ็งขาดอาหาร เราคงตาย" เขาเบือนหน้ากลับมาที่เตียงของเขา มีกระเป๋าเดินป่าใบใหญ่วางอยู่ กับเสื้อผ้า และของใช้ สะเปะสะปะไปหมด เขาเก็บของ เช็คพาสปอร์ตที่เตรียมจะใช้เดินทาง และไม่ลืมที่จะตั้งเครื่องให้อาหารแมวนั้นไว้เนื่องจากเขาคงต้องจากมันไปหลายวัน ดร.นนท์ กำลังจะไปแอฟริกา
เขาเคยได้ยินเรื่องชนเผ่ากินคนลึกลับในคองโกมานานแล้ว คนต่างชาติมากมายหายไปในป่าดงดิบในการสำรวจทางโบราณคดี นี่รวมถึงนักโบราณคดีชื่อก้องโลกในอดีตอีกหลายคน เริ่มจาก ศ.ดร.มาร์ติน จอห์นสัน และ ศ.ดร.เกมบัว เฮอร์นันเดซ นักโบราณคดีระดับรางวัลโนเบลของสหรัฐฯ และเสปน ซึ่งทั้งสองหายไปร่วม 20 ปีแล้ว นักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์ นักเดินป่า นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลายต่อหลายคนก็หายไปในดินแดนนี้ และที่สำคัญเมื่อราวๆ 3 ปีที่แล้ว ยังมีนักโบราณคดีชื่อดังของไทยด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นิตย์ เดชธำรง ผู้โด่งดังก้องโลกในวงการโบราณคดีหลังจากการค้นพบหลักฐานเส้นทางการติดต่อระหว่างเมโสโปเตเมียกับอารยธรรมสินธุ ก็กลายเป็นบุคคลสาบสูญไปด้วย ดร.นิตย์ อายุแก่กว่าเขาพอสมควร พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่เขากลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ เขาเข้ามารับหน้าที่เป็นนักวิจัยที่คอยช่วยเหลือท่าน ท่านเป็นคนให้การสนับสนุนเขามาตลอด สั่งสอนให้ความรู้เขา เขายังจำคนคนนี้ได้ดี ดร.นิตย์เคยบอกเขาว่า "อารยธรรมคือเครื่องแสดงความเจริญ เราเป็นนักโบราณคดี เราต้องทำหน้าที่แสดงความเจริญนี้ออกมาสู่สาธารณะ อย่าให้มันสาบสูญไปกับกาลเวลา" มันเป็นประโยคที่ให้กำลังใจในการทำงานแก่เขามาตลอด เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ ดร.นิตย์เป็นคนเก่ง และนิสัยดี ท่านมาที่นี่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพื่อหาชนเผ่ากินคน และช่างโชคร้ายที่ท่านพบ นี่ไม่ใช่ข่าวโคมลอย ทางการคองโกทราบเรื่องว่า ดร.นิตย์ กลายเป็นเหยื่อของชนเผ่านี้จากหนังสือการเดินทางของเขา ดร.นิตย์ จะมีติดตัวไว้ตลอด หน้าสุดท้ายท่านพรรณนาว่าท่านพบมันแล้ว และกำลังจะสะกดรอยตามไป ไม่มีข้อความใดๆหลังจากนั้น ทางการบุกเข้าไปช่วยเหลือแต่ก็ไม่พบ ศพของคนเหล่านี้ไม่เคยได้พบเห็นเลย คองโกดูเป็นแผ่นดินอันตรายสำหรับนักวิจัยแบบพวกเขา แต่นนท์ นาคะเกียรติ์ ไม่กลัว ไม่แน่มันอาจเป็นกิเลสอีกอย่างของเขา เขาชอบเดินทาง ชอบเสี่ยง และแน่นอนเขาต้องการหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับ ดร.นิตย์ เดชธำรง
ณ แผ่นดินแห่งความลึกลับกำลังจะได้ต้อนรับผู้มาเยือนที่คาดไม่ถึง เครื่องบินลำเล็กลงจอดที่สนามบินรัฐคองโก ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ เดินลงมาจากเครื่อง พลันนักข่าวมากมายจากหลากหลายประเทศก็เข้ามารุมล้อมเขา การมาของ ดร.นนท์ เป็นข่าวดังมากในวงการวิจัยเกี่ยวกับโบราณคดี เรื่องนี้ทำให้เผ่ากินคนในคองโกกลับมาโด่งดัง และพูดถึงกันมากอีกครั้ง ถ้าเป็นคนอื่นคงตื่นตะลึง แต่ ดร.นนท์ ชินกับเรื่องแบบนี้เขาพบนักข่าวมากมายมาตลอดในชีวิตการทำงานของเขา พวกนี้โผล่มาตอนเขาโด่งดัง และคงจะจากไปหากงานของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของคนพวกนี้ก็ได้ นนท์ นาคะเกียรติ์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวซักพัก ไม่นานก็มีเสียงตะโกนออกมาจากนอกวง
"ท่านศาสตราจารย์ครับ รถซาฟารีพร้อมแล้วครับ ท่านจะไปเลยรึเปล่าครับ"
"ไปเลยสิ ขอบใจมาก เกรียงไกร" นนท์ นาคะเกียรติ์ ตอบผู้ส่งเสียงหนุ่มหล่อตัวสูงใหญ่ผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึก
เขาเดินฝ่ากลุ่มนักข่าว แล้วขึ้นไปนั่งข้างหลังรถซาฟารีคันนั้น ซึ่งจอดอยู่ห่างไม่ไกล คนขับเป็นคนผิวดำรูปร่างใหญ่ใส่ชุดลาย คงชาวพื้นเมืองคองโก เกรียงไกรขึ้นรถมานั่งข้างๆคนขับ รถเริ่มออกเดินทาง
"ขอบใจอีกครั้งนะเกรียงไกร ที่มาดูแลผมอย่างดี"
"โธ่ท่านศาสตราจารย์ครับ ท่านมีบุญคุณกับผมขนาดนี้ ถ้าผมรู้ว่าท่านจะมา แถมมาดูงานวิจัยของผมด้วย จะไม่ให้ผมดูแลท่านได้ยังไง"
ดร.เกรียงไกร ธรรมกฤต เป็นอดีตนักวิจัยที่ทำงานร่วมกับ ดร.นนท์ มาตั้งแต่ครั้งขุดหาอารยธรรมบ้านเชียง ก่อนจะออกมาทำงานวิจัยอันสุดจะอันตรายนี้
"งานไปถึงไหนแล้วหรือเกรียงไกร ได้อะไรบ้าง"
"ก็ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ครับท่าน เราพยายามหาชนเผ่าอานารยชนเผ่านี้ในป่าบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของคองโกมานานหลายเดือนแล้ว แต่ไม่พบอะไรเลย นี่ขนาดผมอาศัยบันทึกการเดินทาง และงานวิจัยของ ดร.นิตย์ ช่วยแล้วนะครับ คองโกเป็นป่าดงดิบครับ การจะเดินลุยเข้าไปยากลำบากจริงๆ" เกรียงไกรตอบอย่างเปิดเผย นั่นเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินนี้ที่เขาได้ยินชื่อ ดร.นิตย์ เดชธำรง
เกรียงไกรกล่าวต่อว่า "ก็หวังให้ท่านศาสตราจารย์ช่วยผมล่ะครับ ท่านคงจะพอกำหนดจุดบริเวณได้เพื่อเราจะได้ค้นหาต่อไป"
"ไม่มีปัญหาหรอกเกรียงไกร แต่ก่อนอื่นน่ะ เรียกผมว่า อาจารย์ ก็พอ"
พวกเขาเดินทางมาเกือบถึงป่า บริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของทีมวิจัยของ ดร.เกรียงไกร หนุ่มนักโบราณคดีผู้เป็นเจ้าบ้านพาเขาเข้าไปชมสถานที่ปฏิบัติงานซึ่งเป็นกระท่อมสองหลัง ใหญ่กับเล็ก มุงด้วยหญ้าเป็นหลังคา งานนี้เป็นงานที่ท้าทายสำหรับนนท์มาก เขาเคยค้นพบแต่อารยธรรมที่ดับสูญไปแล้ว แต่วันนี้เขากำลังจะต้องเผชิญกับชุมชนกินคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจอกัน
"อาจารย์ครับ นี่ สก๊อตต์ นี่ โรเบิร์ต และนี่ ลืมแนะนำให้อาจารย์รู้จัก เขาชื่อ มุมโต้ครับ" เกรียงไกรชี้ไปที่คนดำร่างใหญ่ในชุดลายพรางที่พาพวกเขามายังที่นี่
"สองคนแรกเป็นผู้ช่วยของผมมาจากอังกฤษ และสหรัฐฯ คนหลังนี่เป็นนักเดินป่าท้องถิ่น ที่จะพาเราเข้าไปวันพรุ่งนี้ครับ"
ดร.นนท์ ทำความรู้จักกับทุกคน สก๊อตต์เป็นฝรั่งหัวทอง ผมสั้น ตัวเล็กประมาณคนไทยนี่แหละ เขาเป็นคนคุยสนุก เขาเล่าว่าเขาเบื่อชีวิตสุขนิยมที่อังกฤษซะเหลือเกินเลยตัดสินใจมาร่วมงานกับ ดร.เกรียงไกร คราวนี้ถึงแม้จะเสี่ยง และความพยายามหลายเดือนจะยังไม่สำเร็จผล แต่ก็ไม่น่าเบื่อเท่าชีวิตในอังกฤษที่เขาต้องทนอยู่มาทั้งชีวิต ส่วนชายร่างสูง ผอม ใส่แว่นหนาอย่างโรเบิร์ตนั้นต่างออกไป เขาเป็นนักวิจัยมืออาชีพ เขากระหายความสำเร็จ จึงตัดสินใจมาร่วมงานอันตรายนี้ทันทีที่ ดร.เกรียงไกร ชวนเขามา บ๊อบเป็นคนพูดน้อย และจริงจัง ส่วนมุมโต้นั้นมาใหม่ เขาเป็นนักเดินป่าคนที่ 5 แล้วที่ทีมวิจัยเปลี่ยนมา เพราะคนก่อนๆต่างกลัวงานนี้หมด นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้งานล่าช้า นอกเหนือจากความหนาทึบของป่า
นนท์ นาคะเกียรติ์ เข้าที่พักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ตรงกระท่อมหลังเล็กหลังจากร่วมรับประทานอาหารกับทีมวิจัยนี้เสร็จ เป็นอาหารง่ายๆ พออิ่ม เขาต้องนอนให้เต็มที่เพื่อการเดินทางในวันพรุ่งนี้
เบื้องหน้าของเขาคือสีไฟสีแดงสลับเขียวสลับน้ำเงิน แปรเปลี่ยนมั่วไปหมด นนท์กำลังสับสน เขาเห็นเกรียงไกร และทีมวิจัยหายไปกับแสงไฟเหล่านั้น พลันมนุษย์รูปร่างใหญ่น่ากลัว เขี้ยวหนาและเลือดที่ไหลนองเขี้ยวของมันทำให้มันยิ่งทวีความน่ากลัว พวกมันหลายร้อยคนรุมล้อมเขา ตัวของพวกมันอาบไปด้วยเลือด มือของมันบางตัวกำเครื่องในของมนุษย์อยู่ เล็บของมันยาวดูน่ากลัว พวกมันกำลังเดินเข้ามาหาเขา ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา พลันทุกอย่างก็หายไป และแล้วก็เป็นใบหน้าของ ดร.นิตย์ เดชธำรง เข้ามา ท่านศาสตราจารย์ยิ้มให้แก่เขา เขากำลังจะยิ้มตอบ ทันใดนั้นความดำมืดเข้ามาแทนที่ เขามองไม่เห็นอะไรเลย
"ท่านศาสตราจารย์!!!" นั่นเป็นเสียงแรกของเขาในวันใหม่ นนท์ นาคะเกียรติ์ สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันนั้น เหงื่อตกพราก เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาอาจจะกินอะไรผิดสำแดงเข้าไป หรืออาจเป็นเพราะการนั่งเครื่องบินมาหลายชั่วโมง หรืออาจเป็นผลของการปรับเวลาใหม่บนแผ่นดินใหม่ก็ได้ เขาหวังให้เป็นเช่นนั้น นนท์เหลือบสายตามองไปรอบข้าง ไม่เห็นคนในทีมวิจัยเลย เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปหน้ากระท่อม เกรียงไกรกำลังออกกำลังบริหารร่างกายอยู่ กล้ามเนื้อของเกรียงไกรดูแข็งแกร่งเหลือเกิน เขาต้องมีร่างกายที่พร้อมสำหรับการทำงานหนักอย่างนี้ นนท์นึกถึงเขาสมัยหนุ่มและยิ้ม เมื่อก่อนเขาก็มีร่างกายที่ฟิตเหมือนกัน ก่อนอะไรๆจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา กล้ามเนื้อที่เคยแน่นหนาก็เหี่ยวย่นลงไป หนุ่มนักวิจัยหันมาเห็นท่านศาสตราจารย์
"ท่านศาดเอ้ย อาจารย์ครับ นอนพักผ่อนก่อนได้ครับ เราคงจะเดินทางตอนสายๆครับ"
"อือ ก็ดี แต่ผมขอออกกำลังกายด้วยคนสิ" หนุ่มใหญ่กล่าวตอบ เขาเดินออกไปนอกกระท่อม ความกระชุ่มกระชวยของวัยหนุ่มเหมือนหวนกลับมาอีกครั้ง เขาไม่ได้คิดใส่ใจอะไรกับความฝันนั้นเลย หรือเขาอาจพยายามที่จะลืม
มุมโต้ชายร่างใหญ่ผิวดำในชุดลายพราง ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงการผ่านอะไรมาอย่างโชกโชน เกรียงไกรเล่าถึงมุมโต้ชายผู้เงียบขรึมคนนี้ว่า เขาเป็นนักเดินป่ามาตั้งแต่เด็ก เกรียงไกรเล่าว่าขณะมุมโต้ออกเดินป่าในวัยเด็กกับพ่อแม่ ครั้งหนึ่งพ่อแม่ของเขาต้องตายจากช้างแอฟริกันตกมัน วิ่งไล่ และเหยียบคนไม่เลือกหน้า แต่เขารอดตายมาอย่างปาฏิหารย์ และกลับออกมานอกป่า มาอยู่กับปู่ย่าที่เฝ้าตามหาเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหตุการณ์นั้นอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มุมโต้ดูเป็นคนลึกลับ เงียบขรึม ไม่มีใครรู้ว่าเขารอดมาได้ยังไง มุมโต้ไม่เคยเอ่ยกับใคร มุมโต้กำลังเตรียมสัมภาระทั้งหมดเพื่อการเดินทาง เขาเตรียมอาวุธครบมือ ปืนไรเฟิ้ลที่พร้อมจะปลิดชีพศัตรูผู้ไม่ได้รับเชิญก่อนที่มันจะทำอะไรที่ไม่คาดคิด ถัดไปนิดเดียวสก๊อตต์กำลังเตรียมอาหารมื้อสุดท้ายในสถานีนี้ให้แก่พวกเรา รวมทั้งเสบียงที่จะใช้เดินทาง หนุ่มอารมณ์ดีอายุน่าจะราวๆซัก 30 ต้นๆ ชอบทำอาหารมาก นนท์คิดว่าบางทีถ้า สก๊อตต์ไม่เป็นนักโบราณคดี เขาคงจะรวยจากการเป็นพ่อครัวใหญ่แน่ ขณะเดียวกันโรเบิร์ตก็กำลังเตรียมอุปกรณ์สำรวจทันสมัยอย่างขมั่กเขม่น มันจำเป็นมากเพื่อป้องกันอันตรายหากมีสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้เข้ามาใกล้ หรือไม่แน่มันอาจจะทำให้เรารู้ว่าเราใกล้ถึงอานารยชนเผ่านั้นแล้ว ดร.นนท์ กลับเข้ามาในกระท่อมนั่งลงบนเก้าอี้ เขาเริ่มดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ มี ดร.เกรียงไกร นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"ผมเสนอให้เราเดินทางในทิศทางนี้ ตรงนี้เป็นเขตป่าดงดิบที่หนาทึบ ในทางประวัติศาสตร์ของโบราณคดี ชาวป่ามักอยู่ตรงบริเวณนี้ของป่า" เกรียงไกรกล่าว
"คุณพูดมีเหตุผล ตรงเขตบริเวณนั้นก็เป็นไปได้ แต่ควรจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ผมเชื่อว่าชนเผ่านี้จะออกล่าเหยื่อซึ่งน่าจะเป็นพวกสัตว์ป่าที่มากินน้ำนะ" ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ชี้นิ้วลงบนแผนที่ เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มเดินทางที่จะน่าสะพรึงกลัว…
บริเวณนี้ของคองโกเป็นที่โล่งมาก ดร.นนท์ สามารถมองเห็นไปถึงเขตชายป่านั้นได้เลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาแอฟริกา เขาเคยไปร่วมขุดหาอารยธรรมที่อียิปต์ ไนจีเรีย รวมถึงซิมบัคเวย์มาแล้ว แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่กี่อึดใจ รถซาฟารีก็จอด มันเข้าไปในป่าไม่ได้แล้ว พวกเขาลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ออกมาพบพวกเขา พูดภาษาท้องถิ่น มุมโต้คุยกับพวกนั้นอย่างรู้เรื่อง
"นายครับ เขาบอกว่าให้ฝากรถไว้บริเวณนี้ และท่านผู้อำนวยการป่านี้ได้ให้วิทยุสื่อสารไว้ เพื่อให้พวกเราติดต่อกับเขาหากเกิดภาวะฉุกเฉิน" นั่นเป็นประโยคภาษาอังกฤษ หรือทุกๆภาษาที่มุมโต้พูดยาวที่สุด นับตั้งแต่นนท์รู้จักเขามา รัฐบาลคองโกรอบคอบมาก พวกเขาเรียนรู้แล้วว่าการหายไปของนักโบราณคดีระดับโลกทำให้ประเทศของเขาดูแย่เพียงใด พวกเขาคงไม่อยากให้พลาดอีก เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยังพูดต่อกับมุมโต้ และตบไหล่เขา นนท์ นาคะเกียรติ์ ถามเขาด้วยความสงสัย
"พวกนั้นพูดว่าอะไรหรือ?"
"เขาว่า พวกเราแน่มากที่กล้าเสี่ยงขนาดนี้ และขอให้โชคดี"
ท่านศาสตราจารย์ยิ้มแหยๆ หวังว่านี่คงเป็นคำอวยพร
พวกเขาเดินเลยจากชายป่ามาซักพักแล้ว นานพอที่จะมองกลับไปไม่เห็นขอบแห่งพงไพรนี้ มุมโต้ เป็นคนถือแผนที่ และเข็มทิศ เขาพา นนท์ และคนในทีมไปตามทางที่กำหนดไว้ ในป่าดงดิบอะไรๆก็เหมือนกันไปหมด ต้นไม้ หญ้า ดิน นนท์ นาคะเกียรติ์ ไม่รู้เลยว่าเขากำลังอยู่ตรงไหนแล้ว เขาเดินทางตามนักเดินป่าไปไป ตามทิศทางที่เข็มทิศเป็นผู้กำหนดให้เดิน
"คุณเคยกลัวมั้ยที่ต้องมาจับงานแบบนี้?" นนท์ถาม ดร.เกรียงไกร ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น มันไม่ใช่คำถามเพื่อทำลายความเงียบ แต่เขาอยากรู้จริงๆ
"ผมตัดความกลัวทิ้งไปหมดแล้วครับอาจารย์ ผมเลือกที่จะทำมันเอง ใจผมรัก ผมว่า ดร.นิตย์ ท่านก็คงคิดเช่นนี้ตอนท่านมาที่นี่" อีกครั้งที่เขาได้ยินชื่อท่านจากปากของเกรียงไกร ศาสตราจารย์ผู้หายสาบสูญยังคงมีอิทธิพลต่อคนรุ่นต่อๆมาอย่างคาดไม่ถึง ทันใดนั้นเสียงที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น "ขะ ขะ ขะ เข็มทิศ มันไม่หมุนแล้ว" มุมโต้ไม่เคยพูดตะกุกตะกักเช่นนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่มุมโต้รู้ เช่นเดียวกับที่คนอื่นรู้ว่า ถ้ามันเกิดขึ้นพวกเราจะเป็นยังไง "แล้วเราจะทำยังไงกันเนี่ย" สก๊อตต์ถามหลังจากตะลึงกับเสียงของมุมโต้ "อาจเป็นเพราะพายุสุริยะที่ทำให้อุปกรณ์แม่เหล็กเสียหาย เราคงจะหลงป่าแล้ว" โรเบิร์ตตอบ หนุ่มคนนี้ยังดูเยือกเย็นเหมาะสมเป็นนักโบราณคดีอย่างแท้จริง เกรียงไกรหัวหน้าทีมลองติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้แต่มันไม่ได้ผล พายุสุริยะคงทำลายอุปกรณ์สื่อสารนี่ด้วย "อาจารย์ครับ เราลองให้สัญญาณไฟ หรือเรียงใบไม้เป็นสัญญาณที่พื้นดีไหมครับ" เกรียงไกรถามผู้มีประสบการณ์ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง "ไม่มีประโยชน์หรอก ป่าบริเวณนี้ทึบมา ไม่มีทางที่เฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลคองโกจะเห็นเราได้ ตอนนี้เราต้องหาทิศทางให้ได้ก่อน" นนท์ นาคะเกียรติ์ตอบลูกน้องเก่าอย่างใจเย็น "ยังไงครับ" สกอตต์ถามด้วยเสียงอยากรู้ นนท์ยังไม่ตอบอะไรเขาเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ลูบมัน และยื่นมือที่ลูบนั่นให้ทุกคนดู ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขา มือของท่านศาสตราจารย์มีสีเขียว มันคือมอส พืชที่ขึ้นเกาะลำต้นของต้นไม้ใหญ่
"มอสจะขึ้นตรงทิศตะวันออก เพื่อรับแสงแดด เราคงจะพอคลำทางออกไปได้" ทุกคนดูโล่งออก แต่นนท์รู้ว่าปัญหามันไม่ได้จบแค่นี้แน่ เขาไม่อยากให้คนอื่นตื่นผวา ต้นไม้บริเวณอื่นไม่มีต้นมอสขึ้นมาเกาะ แต่เวลาอาจช่วยให้เขาพอคิดทางรอดได้ มุมโต้มองตาเขาอย่างรู้ทัน คนดำในชุดพรางมีหรือจะไม่รู้ว่าการหลงป่าดงดิบแบบนี้ไม่มีทางออกไปได้ มุมโต้รู้และรู้ยิ่งกว่านั้น นักเดินป่ารู้ว่านนท์คิดอะไร และรู้จักที่จะเงียบ
ท่ามกลางหมู่มวลไม้ที่หนาทึบ เวลาเย็นแทบจะเหมือนกลางคืน ยากที่แสงตะวันจะสอดส่งถึงพวกเขาได้ ทีมสำรวจเดินทางต่อไป ตามหาต้นมอสที่ติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ในป่าดงดิบ ไม่นานการตามหามอสที่เกาะติดกับลำต้นไม้ก็สิ้นสุด มันไม่มีอีกแล้ว ต้นไม่บริเวณนี้ไม่มีมอสมาเกาะเลย พวกเขาเหมือนเดินมาถึงทางตัน "อาจารย์ครับ" วลีสั้นๆกับแววตาของเกรียงไกร มันสื่อความหมายที่มากมายมหาศาลยิ่งนัก นนท์รู้ว่าทุกอย่างจะต้องเป็นอย่างนี้ เพียงแต่มันเร็วเกินไป เร็วเกินว่าที่เขาจะพอหาทางออกอย่างอื่นได้ "ผมขอเสนอให้เราพักตรงนี้ ในคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยหาทางกันต่อ วันนี้ดึกมากแล้ว" ท่านศาสตราจารย์พูด ทุกคนต่างเห็นด้วยกับ นนท์ นาคะเกียรติ์ พวกเขาต่างดูใจเย็น นนท์รู้ว่าทำไมคนอื่นๆจึงใจเย็นได้ขนาดนั้น ทุกคนเชื่อในภาวะผู้นำของนักโบราณคดีที่คว่ำหวอดในวงการอย่างเขา เขาไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวัง
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
ปริญญา - จุฬาลงกรณ์
จุฬาลงกรณ์
สถานที่ที่เราก้าวเดินเข้าหาเมื่อแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิต หาคุณค่าเพิ่มให้กับตัวเอง แสวงหาการยอมรับและวิชาอาชีพ
จุฬาลงกรณ์
สถานที่เราเดินจากไป ด้วยความว่างเปล่าที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆที่ต้องการในอดีต แต่เปี่ยมไปด้วยปณิธานเกียรติภูมิแห่งสถานที่นี้ ที่จะคืนสิ่งที่มีให้กับประชาชน
ยินมานานว่าถิ่นจามจุรีใหญ่
มหาลัยแห่งชีวิตคนนับแสน
ส่งนิสิตกระจัดจายกันทั่วแดน
ทุกแว่นแคว้นมีจุฬาฯบำรุงไทย
นั้นคือเรื่องได้ยินมาในวัยเด็ก
เมื่อยังเล็กก่อนเติบโตขึ้นเป็นใหญ่
พอถึงวันฉันจะเข้ามหาลัย
ก็ตั้งใจสอบสมัครเข้าจุฬาฯ
หวังการเรียนดันตนให้สำเร็จ
เป็นบำเหน็จชีวิตให้สูงค่า
เพื่อวันหนึ่งเป็นหนึ่งในธารา
มีทรัพย์สินสูงค่าอยู่รอบกาย
หวังได้เพื่อนสุดรักจากที่นี้
หวังเป็นที่ยอมรับขยับขยาย
ทุกวันพัฒนาตนจนวันตาย
เป็นเป้าหมายที่หวังไว้จากสี่ปี
---------------------------------------------------------------
จากวันนั้นมาวันนี้ที่ปรากฏ
จนหมดจดขวบค่าจุฬาฯมี
บ้างได้ตามสิ่งที่คาดหวังนี้
บ้างมิอาจจะได้มีอย่างตามใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รู้จากวันจบ
บัณฑิตพบสิ่งสูงจุฬาฯให้
จุฬาฯมอบปนิธานต่อดวงใจ
กับเราไว้ทุกทุกคนโดยทั่วกัน
จุฬาฯบอกให้ท่านรักษาชาติ
บำรุงราษฏร์ศาสนาให้สุขสันต์
ยืนหยัดตนเป็นคนดีชั่วนานวัน
ตัวเธอฉันชาวชมพูต่างเข้าใจ
เกียรติภูมิสูงค่าจุฬาฯบอก
เหมือนก้อนหมอกคู่ภูผาศิลาใหญ่
จะเคียงหยัดยั้งคู่เราตลอดไป
จบแล้วไซร้จงหมั่นทำดั่งปณิธาน
โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
อาจเป็นเพียงกระดาษาประดับบ้าน
หากทอดทิ้งความหวังปณิธาน
ผ่านสถานชื่อจุฬาฯไร้ค่าจำ
โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
อาจเป็นเพียงกระดาษาที่มือกำ
หากไม่พากไม่เพียรไม่หมั่นทำ
เสริมสร้างคุณธรรมประดับไทย
โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
จะสง่าเกินกว่าจะหาไหน
หากดำรงคงปณิธานประจำใจ
กอบแผ่นดินกู้ไทยให้ดำรง
ประเทศชาติแดนไทยในยามนี้
มีไพรีรอบชาติต่างประสงค์
จะทำลายล้างไทยให้ปลดปลง
แล้วไทยจะดำรงได้อย่างไร
ประเทศไทยในแดนในแคว้นชาติ
ก็มาขาดสามัคคีเป็นการใหญ่
ต่างทะเลาะเหวาะแว้งระแวงใจ
แล้วชาติไทยจะดำรงคงได้หรือ
ณ วันนี้ชาวจุฬาฯจะปรากฏ
จะไม่หดหนีหายมลายชื่อ
จะสร้างชาติชูเกียรติไทยให้ระบือ
จะยึดถือปณิธานสานประชา
เราอาจจะได้อะไรมาต่างกัน เพราะจุฬาฯมีอะไรให้เราหลากหลาย แล้วแต่จะแสวงหา
เราอาจจะได้อะไรมาไม่เท่ากัน แล้วแต่เวลาและโอกาสที่เรามี
แต่สิ่งหนึ่งแห่งความเป็นจุฬาฯที่บอกได้ คือเราต่างมีปณิธานที่เท่ากัน
“เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน”
สถานที่ที่เราก้าวเดินเข้าหาเมื่อแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิต หาคุณค่าเพิ่มให้กับตัวเอง แสวงหาการยอมรับและวิชาอาชีพ
จุฬาลงกรณ์
สถานที่เราเดินจากไป ด้วยความว่างเปล่าที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆที่ต้องการในอดีต แต่เปี่ยมไปด้วยปณิธานเกียรติภูมิแห่งสถานที่นี้ ที่จะคืนสิ่งที่มีให้กับประชาชน
ยินมานานว่าถิ่นจามจุรีใหญ่
มหาลัยแห่งชีวิตคนนับแสน
ส่งนิสิตกระจัดจายกันทั่วแดน
ทุกแว่นแคว้นมีจุฬาฯบำรุงไทย
นั้นคือเรื่องได้ยินมาในวัยเด็ก
เมื่อยังเล็กก่อนเติบโตขึ้นเป็นใหญ่
พอถึงวันฉันจะเข้ามหาลัย
ก็ตั้งใจสอบสมัครเข้าจุฬาฯ
หวังการเรียนดันตนให้สำเร็จ
เป็นบำเหน็จชีวิตให้สูงค่า
เพื่อวันหนึ่งเป็นหนึ่งในธารา
มีทรัพย์สินสูงค่าอยู่รอบกาย
หวังได้เพื่อนสุดรักจากที่นี้
หวังเป็นที่ยอมรับขยับขยาย
ทุกวันพัฒนาตนจนวันตาย
เป็นเป้าหมายที่หวังไว้จากสี่ปี
---------------------------------------------------------------
จากวันนั้นมาวันนี้ที่ปรากฏ
จนหมดจดขวบค่าจุฬาฯมี
บ้างได้ตามสิ่งที่คาดหวังนี้
บ้างมิอาจจะได้มีอย่างตามใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รู้จากวันจบ
บัณฑิตพบสิ่งสูงจุฬาฯให้
จุฬาฯมอบปนิธานต่อดวงใจ
กับเราไว้ทุกทุกคนโดยทั่วกัน
จุฬาฯบอกให้ท่านรักษาชาติ
บำรุงราษฏร์ศาสนาให้สุขสันต์
ยืนหยัดตนเป็นคนดีชั่วนานวัน
ตัวเธอฉันชาวชมพูต่างเข้าใจ
เกียรติภูมิสูงค่าจุฬาฯบอก
เหมือนก้อนหมอกคู่ภูผาศิลาใหญ่
จะเคียงหยัดยั้งคู่เราตลอดไป
จบแล้วไซร้จงหมั่นทำดั่งปณิธาน
โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
อาจเป็นเพียงกระดาษาประดับบ้าน
หากทอดทิ้งความหวังปณิธาน
ผ่านสถานชื่อจุฬาฯไร้ค่าจำ
โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
อาจเป็นเพียงกระดาษาที่มือกำ
หากไม่พากไม่เพียรไม่หมั่นทำ
เสริมสร้างคุณธรรมประดับไทย
โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
จะสง่าเกินกว่าจะหาไหน
หากดำรงคงปณิธานประจำใจ
กอบแผ่นดินกู้ไทยให้ดำรง
ประเทศชาติแดนไทยในยามนี้
มีไพรีรอบชาติต่างประสงค์
จะทำลายล้างไทยให้ปลดปลง
แล้วไทยจะดำรงได้อย่างไร
ประเทศไทยในแดนในแคว้นชาติ
ก็มาขาดสามัคคีเป็นการใหญ่
ต่างทะเลาะเหวาะแว้งระแวงใจ
แล้วชาติไทยจะดำรงคงได้หรือ
ณ วันนี้ชาวจุฬาฯจะปรากฏ
จะไม่หดหนีหายมลายชื่อ
จะสร้างชาติชูเกียรติไทยให้ระบือ
จะยึดถือปณิธานสานประชา
เราอาจจะได้อะไรมาต่างกัน เพราะจุฬาฯมีอะไรให้เราหลากหลาย แล้วแต่จะแสวงหา
เราอาจจะได้อะไรมาไม่เท่ากัน แล้วแต่เวลาและโอกาสที่เรามี
แต่สิ่งหนึ่งแห่งความเป็นจุฬาฯที่บอกได้ คือเราต่างมีปณิธานที่เท่ากัน
“เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน”
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
วีรชน? - The Brave Man?
แสงแดดสาดส่องสะท้าน แลเห็นแขนและขาอันบึกบึนของเขา เหล่าผู้คนเดินผ่านขวั่กไขว่ไปมา แทบทุกคนมุ่งมาที่เขา ถ่ายรูป และจากไป โดยไม่มีการร่ำลา พวกนั้นดูจะไม่รู้เลยว่ากำลังถ่ายรูปกับใครอยู่ อาจจะเห็นเพียงความใหญ่ และสง่าของเขา ก็เป็นได้ มือขวานั้นกำกระบอกปืนแน่น สายตาคู่นั้นไม่เคยเปลี่ยนทิศทางมาอย่างยาวนาน มันยังคงส่องกราดไปยังตัวเมืองดุจว่าเขาจะปกป้องเมืองนี้ตราบชั่วชีวิต หรือแม้จะไร้ซึ่งชีวิตไปแล้ว ไม่มีรอยยิ้มจากเขา ไม่มีการขยับตัว รูปปั้นนั่นแข็งแกร่งประหนึ่งภูผาที่ไม่สะท้านแรงลมใดๆ
เสียงปืนกลกราดดังวิวาทไปทั่ว เมืองที่ผู้คนเคยอยู่อาศัยอย่างมีความสุขตอนนี้กลายเป็นแผ่นดินเพลิง
เขายืนอยู่ที่นั่น
ณ ซอกตึกในเมืองใหญ่
ณ แผ่นดินที่เขาเกิด
ณ แผ่นดินที่เขารัก
ฟันของเขานั้นขบกันแน่น ร.อ. ชาติ บุลวัตร รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว แต่เขายังคงนิ่งและเงียบ การส่งเสียงเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ชีวิตเขาสิ้นสุดได้ เขามีงานสำคัญที่จะต้องทำ เขาจะตายไม่ได้ มือกำซองเอกสารนั่นไว้ ถ้าพวกนั้นเห็นมัน เขาอาจจะต้องตาย
สุนัขดมกลิ่นพันธุ์เยอรมันเชฟเพิต เหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
"หมาได้กลิ่นแล้ว พวกเรา เข้าไปในอาคารนั้น เตรียมอาวุธให้พร้อม มันต้องอยู่ในนั้นแน่"
ชาติ บุลวัตร คลายฟันที่ขบกันอยู่ด้วยความเครียด เขารู้ว่าหมาตัวนั้นคงจะได้กลิ่นรองเท้าและเสื้อผ้าที่เขาถอดเปลี่ยนไว้ในตึก ปากนั่นยิ้ม สายตาสอดส่องไปยังภายนอกตรงถนนใหญ่ กองทหารหายไปหมดแล้ว
ร่างนั้นขยับออกจากซอกมุมตึก แล้วอำพรางตัวเดินไปอย่างช้าๆ ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เวลานั้นมืดแล้ว เขามั่นใจว่าถ้าออกไปจากบริเวณนี้ ทหารฝ่ายรัฐบาลหน่วยอื่นคงจะไม่รู้แน่ว่าเขาเป็นใคร พวกนั้นคงจะคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน เสื้อทหารฝ่ายรัฐบาลที่เขาใส่ดูพอเหมาะพอเจาะ เขาเพิ่งเปลี่ยนมันกับศพของนายทหารฝ่ายนั้นคนหนึ่งที่นอนตายอยู่ในอาคาร
เท้ายังคงย่ำเดินออกไปให้ห่างจากบริเวณนั้น พลันเสียงหนึ่งก็ทำให้ ชาติ บุลวัตร ต้องหยุดนิ่ง
"หยุด!! ท่านอยู่หน่วยไหนโปรดแสดงตัว" นายทหารร่างใหญ่ชี้ปืนส่องมาตรงหน้าเขา
"ผมอยู่หน่วยลาดตระเวร กำลังจะนำเอกสารไปส่งแม่ทัพ"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงไม่สั่นไหว มือขวาชูซองเอกสารให้นายทหารคนนั้นเห็น
"ขอให้ท่านแสดงบัตรประจำตัวทหารด้วย ขณะนี้เป็นช่วงสงคราม คงจะไว้ใจใครไม่ได้ อาจจะมีการปลอมตัวมา"
"อือ ผมเข้าใจ" ผู้ปลอมแปลงตัวตอบ พร้อมยื่นบัตรประจำตัวทหารให้ทหารตัวจริงดู
"ผมคือ พ.ท. กิติศักดิ์ พนาศรไกร ตอนนี้คุณคงเชื่อผมแล้ว" ชาติ พูดย้ำ
ทหารคนนั้นตรวจดูบัตรประจำตัว
"ครับท่าน ขออภัยที่ต้องรบกวนท่านครับ" น้ำเสียงนั่นเริ่มสั่น เมื่อเห็นบัตรนายทหารใหญ่
"อือ ผมเข้าใจ ไม่เป็นไร คุณทำหน้าที่ได้ดีแล้ว คุณชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน?"
"ผม ร.อ. พิชัย รอดดี หัวหน้าหน่วยรบ 109 ครับ มีเป้าหมายโจมตีพวกขบถหากก้าวข้ามมาบริเวณนี้ครับ" ร่างนั้นตอบอย่างเข้มแข็ง
"ดีมาก ทำงานต่อไป" ชาติ พูดประหนึ่งเป็นทหารฝ่ายเดียวกัน
ร.อ.ชาติ บุลวัตรเดินผ่านไป เข้าผ่านเขตรักษาความปลอดภัยนั่นไป เขาจะต้องนำเอกสารนี้ไปให้แก่นายของเขา เพื่อก่อรัฐประหาร เกือบไปเหมือนกัน หลังจากกองทัพของเขาบุกขึ้นไปบนตึกที่เก็บเอกสารนั่น ฝ่ายรัฐบาลกลับรู้ทันมาล้อมไว้ โชคยังเข้าข้างที่เขาฝึกวิชาสายลับมา ทำให้รอดตายและได้ข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมา
สายตานั้นยังคงมองไปทางที่ คนที่อ้างตัวเป็น พ.ท. กิตติศักดิ์ พนาศรไกร จากไป เท้านั่นจ้ำตามอย่างแนบเนียน ร.อ.พิชัย รอดดี สะกดรอยตาม ร.อ.ชาติ บุลวัตร อย่างไม่ให้รู้ตัว
"นายครับ มันกำลังเดินไปแล้วครับ" ผู้สะกดรอยสื่อสารวิทยุกับนายของเขา
"ดีมาก ตามมันไป อย่าให้คลาดสายตา"
เท้าคู่นั้นจ้ำมาถึงหน้าอาคารหลังหนึ่งในมุมหนึ่งของเมืองหลวง มันเป็นอาคารที่เก่าใกล้ผุพังแล้ว สภาพอาคารเช่นนี้ไม่เป็นที่สังเกตใดๆเลยสำหรับเฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลซึ่งบินผ่านไปมา เช่นเดียวกัน ชาติ บุลวัตร ในชุดทหารรัฐบาลก็ไม่เป็นที่สังเกตอันใดเลย
"ท่านคือใคร" เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อชาติ เดินเข้าไปใกล้
"เราคือผู้ก่อรัฐประหาร" ชาติตอบ เท้าคู่นั้นเดินย่ำเข้าไปในตัวอาคาร
พิชัย รอดดี อยู่ใกล้บริเวณนั้น เขาได้ยินรหัสลับนั่นแล้ว มือขวาข้างถนัดกำแน่น นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่แล้ว เงินเดือนทหารเดือนละไม่กี่พันยังไม่พอยาไส้เขาและลูกเมีย ข้างหน้านี้คือจุดเปลี่ยนของชีวิต
พิชัยเดินไปห่างจาก ชาติ บุลวัตร เล็กน้อย
"ท่านคือใคร" เสียงเดียวกับที่ถามชาติ บุลวัตร เอ่ยปากถามอีกครั้งหนึ่ง
ร.อ. พิชัย รอดดี กุมมือที่สั่นไว้แน่น นี่เป็นงานที่น่ากลัวเหลือเกิน ถ้าพูดผิดแม้แต่นิดเดียว หรือแสดงอาการผวา เขาอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่ก็ได้
"เราคือผู้ก่อรัฐประหาร"
ผู้สะกดรอยเดินตามเข้าไปในตึกหลังเก่านั่น
เบื้องหน้าของชาติ บุลวัตร คือ พล.อ. ขจร รุจวงศ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติที่กำลังเตรียมแผนก่อรัฐประหาร แต่ไม่ค่อยจะสำเร็จนักเพราะโดนฝ่ายรัฐบาลรู้ทันแผนการของเขาหลายต่อหลายครั้ง
"ได้ข้อมูลอะไรมาใหม่บ้าง" หัวหน้าใหญ่ปากคาบซิกการ์คิวบาชั้นดีเอ่ยถาม
"นี่เป็นข้อมูลใหม่ของฝ่ายรัฐบาล ผมทำการถ่ายเอกสารมา ฝ่ายรัฐบาลยังไม่รู้เลยว่าเราได้ข้อมูลนี้มาแล้ว พวกนั้นคงพบเอกสารในสภาพดี และโล่งอก"
"ดี ยังมืออาชีพเหมือนเดิม แล้วมีข่าวอะไรในนั้นบ้างล่ะ" ผู้รัฐประหารเอ่ยปากถามอีกครั้ง
พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีการขยับตัวของบางอย่าง
"นั่นใคร!! มึงออกมาเดี๋ยวนี้" ชาติ บุลวัตร ตะโกนก้องด้วยเสียงอันดัง คว้าปืนที่มีอยู่ในบริเวณนั้นหันไปยังต้นตอของเสียง
"ออกมา!!" ชาติตะเบ็งเสียงย้ำอีกครั้ง
ร่างนั้นเดินออกมา
พิชัย รอดดี เดินออกมา
ชาติ จำคนคนนี้ได้ มันคือทหารคนที่เรียกดูบัตรประจำตัวของเขา
"มึงวางปืนลง ไอ้ชาติ" เสียงนายดังขึ้น
ชาติหันไปด้านหลัง ขจร รุจวงศ์ กำลังส่องปืนมาที่เขา
ร.อ. ชาติ บุลวัตร เหงื่อไหลนองหน้าของเขา นี่มันเกิดอะไรขึ้น มือขวาของเขาทิ้งปืนลงกับพื้น
"มึงเป็นสายลับของรัฐบาล!!" พิชัยตะเบงเสียงใส่เขาเป็นครั้งแรก
"มึงกล้าดียังไงมาพูดกับกูแบบนี้ มึงเป็นใคร"
"กูเป็นสายของคณะปฏิวัติ สะกดรอยตามดูมึงหักหลังพวกเรามานานแล้ว เอกสารนั่นเป็นเอกสารที่รัฐบาลเอาให้มึง มันเป็นเอกสารการออกรบซึ่งเป็นเรื่องเท็จ มึงต้องการล่อให้เราหลงเข้าไปในกับดักของฝ่ายมึง"
"มึงพูดอะไรของมึง"
"กูรู้ละกัน กูเป็นคนจัดเอกสารนั้นตามคำสั่งของรัฐบาลให้เอง กูเลยต้องตามมึงเข้ามาถึงในนี้ เพื่อฝังศพมึง"
"ไอ้ชาติ กูผิดหวังในตัวมึงมาก พิชัย อยู่กับกูมานาน กูส่งมันไปเป็นสายลับในฝ่ายรัฐบาล มันไม่ทำให้กูผิดหวังเลย พิชัย!! ยิงคนทรยศซะ"
ปืนนั้นลั่นโดยปราศจากเสียงเนื่องจากใช้อุปกรณ์เก็บเสียง ร่างของ พล.อ. ขจร รุจวงศ์ นอนพับลงในทันที ผู้ก่อการรัฐประหารตายแล้ว
ชาติ บุลวัตร ตัวสั่น เขาสับสนไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ตัวว่าควรจะเงียบ
สายตานั่นส่องกราดไปทั่ว ก่อนที่ปากของพิชัย รอดดีจะเอ่ยขึ้น
"ตอนนี้เรายังออกไปได้ ฝ่ายกบฏยังไม่รู้ว่าเราฆ่าเขาแล้ว"
ทั้งสองรีบหนีออกไป พิชัย รอดดี วอเรียกทหารฝ่ายรัฐบาลเข้ามาจัดการที่มั่นของฝ่ายกบฏ
เสียงนกบินผ่านไป ตะวันยังคงเวียนในทิศทางเดิม ฟ้าใสสว่างเหมือนดังที่มันเคยเป็น ไม่มีสัญญาณใดๆเลยที่แสดงว่าบ้านเมืองเพิ่งจะผ่านวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่มา
ร.อ. พิชัย รอดดี ได้รับเหรียญกล้าหาญจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นักข่าวมากมายติดตามเขา สังคมยกย่องเขาเป็นวีรชน เป็นปูชนียบุคคลของชาติอย่างแท้จริง พิชัยยิ้มย่องในใจ เค้าตัดสินใจไม่ผิดที่ยิงนายของตัวเอง พิชัยได้รับการสรรเสริญ เมื่อตายไป ศิลปินสาขางานปั้นที่มีชื่อเสียงของประเทศต่างช่วยกันปั้นอนุสาวรีย์ให้แก่เค้า แด่วีรชน
เสียงปืนกลกราดดังวิวาทไปทั่ว เมืองที่ผู้คนเคยอยู่อาศัยอย่างมีความสุขตอนนี้กลายเป็นแผ่นดินเพลิง
เขายืนอยู่ที่นั่น
ณ ซอกตึกในเมืองใหญ่
ณ แผ่นดินที่เขาเกิด
ณ แผ่นดินที่เขารัก
ฟันของเขานั้นขบกันแน่น ร.อ. ชาติ บุลวัตร รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว แต่เขายังคงนิ่งและเงียบ การส่งเสียงเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ชีวิตเขาสิ้นสุดได้ เขามีงานสำคัญที่จะต้องทำ เขาจะตายไม่ได้ มือกำซองเอกสารนั่นไว้ ถ้าพวกนั้นเห็นมัน เขาอาจจะต้องตาย
สุนัขดมกลิ่นพันธุ์เยอรมันเชฟเพิต เหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
"หมาได้กลิ่นแล้ว พวกเรา เข้าไปในอาคารนั้น เตรียมอาวุธให้พร้อม มันต้องอยู่ในนั้นแน่"
ชาติ บุลวัตร คลายฟันที่ขบกันอยู่ด้วยความเครียด เขารู้ว่าหมาตัวนั้นคงจะได้กลิ่นรองเท้าและเสื้อผ้าที่เขาถอดเปลี่ยนไว้ในตึก ปากนั่นยิ้ม สายตาสอดส่องไปยังภายนอกตรงถนนใหญ่ กองทหารหายไปหมดแล้ว
ร่างนั้นขยับออกจากซอกมุมตึก แล้วอำพรางตัวเดินไปอย่างช้าๆ ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เวลานั้นมืดแล้ว เขามั่นใจว่าถ้าออกไปจากบริเวณนี้ ทหารฝ่ายรัฐบาลหน่วยอื่นคงจะไม่รู้แน่ว่าเขาเป็นใคร พวกนั้นคงจะคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน เสื้อทหารฝ่ายรัฐบาลที่เขาใส่ดูพอเหมาะพอเจาะ เขาเพิ่งเปลี่ยนมันกับศพของนายทหารฝ่ายนั้นคนหนึ่งที่นอนตายอยู่ในอาคาร
เท้ายังคงย่ำเดินออกไปให้ห่างจากบริเวณนั้น พลันเสียงหนึ่งก็ทำให้ ชาติ บุลวัตร ต้องหยุดนิ่ง
"หยุด!! ท่านอยู่หน่วยไหนโปรดแสดงตัว" นายทหารร่างใหญ่ชี้ปืนส่องมาตรงหน้าเขา
"ผมอยู่หน่วยลาดตระเวร กำลังจะนำเอกสารไปส่งแม่ทัพ"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงไม่สั่นไหว มือขวาชูซองเอกสารให้นายทหารคนนั้นเห็น
"ขอให้ท่านแสดงบัตรประจำตัวทหารด้วย ขณะนี้เป็นช่วงสงคราม คงจะไว้ใจใครไม่ได้ อาจจะมีการปลอมตัวมา"
"อือ ผมเข้าใจ" ผู้ปลอมแปลงตัวตอบ พร้อมยื่นบัตรประจำตัวทหารให้ทหารตัวจริงดู
"ผมคือ พ.ท. กิติศักดิ์ พนาศรไกร ตอนนี้คุณคงเชื่อผมแล้ว" ชาติ พูดย้ำ
ทหารคนนั้นตรวจดูบัตรประจำตัว
"ครับท่าน ขออภัยที่ต้องรบกวนท่านครับ" น้ำเสียงนั่นเริ่มสั่น เมื่อเห็นบัตรนายทหารใหญ่
"อือ ผมเข้าใจ ไม่เป็นไร คุณทำหน้าที่ได้ดีแล้ว คุณชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน?"
"ผม ร.อ. พิชัย รอดดี หัวหน้าหน่วยรบ 109 ครับ มีเป้าหมายโจมตีพวกขบถหากก้าวข้ามมาบริเวณนี้ครับ" ร่างนั้นตอบอย่างเข้มแข็ง
"ดีมาก ทำงานต่อไป" ชาติ พูดประหนึ่งเป็นทหารฝ่ายเดียวกัน
ร.อ.ชาติ บุลวัตรเดินผ่านไป เข้าผ่านเขตรักษาความปลอดภัยนั่นไป เขาจะต้องนำเอกสารนี้ไปให้แก่นายของเขา เพื่อก่อรัฐประหาร เกือบไปเหมือนกัน หลังจากกองทัพของเขาบุกขึ้นไปบนตึกที่เก็บเอกสารนั่น ฝ่ายรัฐบาลกลับรู้ทันมาล้อมไว้ โชคยังเข้าข้างที่เขาฝึกวิชาสายลับมา ทำให้รอดตายและได้ข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมา
สายตานั้นยังคงมองไปทางที่ คนที่อ้างตัวเป็น พ.ท. กิตติศักดิ์ พนาศรไกร จากไป เท้านั่นจ้ำตามอย่างแนบเนียน ร.อ.พิชัย รอดดี สะกดรอยตาม ร.อ.ชาติ บุลวัตร อย่างไม่ให้รู้ตัว
"นายครับ มันกำลังเดินไปแล้วครับ" ผู้สะกดรอยสื่อสารวิทยุกับนายของเขา
"ดีมาก ตามมันไป อย่าให้คลาดสายตา"
เท้าคู่นั้นจ้ำมาถึงหน้าอาคารหลังหนึ่งในมุมหนึ่งของเมืองหลวง มันเป็นอาคารที่เก่าใกล้ผุพังแล้ว สภาพอาคารเช่นนี้ไม่เป็นที่สังเกตใดๆเลยสำหรับเฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลซึ่งบินผ่านไปมา เช่นเดียวกัน ชาติ บุลวัตร ในชุดทหารรัฐบาลก็ไม่เป็นที่สังเกตอันใดเลย
"ท่านคือใคร" เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อชาติ เดินเข้าไปใกล้
"เราคือผู้ก่อรัฐประหาร" ชาติตอบ เท้าคู่นั้นเดินย่ำเข้าไปในตัวอาคาร
พิชัย รอดดี อยู่ใกล้บริเวณนั้น เขาได้ยินรหัสลับนั่นแล้ว มือขวาข้างถนัดกำแน่น นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่แล้ว เงินเดือนทหารเดือนละไม่กี่พันยังไม่พอยาไส้เขาและลูกเมีย ข้างหน้านี้คือจุดเปลี่ยนของชีวิต
พิชัยเดินไปห่างจาก ชาติ บุลวัตร เล็กน้อย
"ท่านคือใคร" เสียงเดียวกับที่ถามชาติ บุลวัตร เอ่ยปากถามอีกครั้งหนึ่ง
ร.อ. พิชัย รอดดี กุมมือที่สั่นไว้แน่น นี่เป็นงานที่น่ากลัวเหลือเกิน ถ้าพูดผิดแม้แต่นิดเดียว หรือแสดงอาการผวา เขาอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่ก็ได้
"เราคือผู้ก่อรัฐประหาร"
ผู้สะกดรอยเดินตามเข้าไปในตึกหลังเก่านั่น
เบื้องหน้าของชาติ บุลวัตร คือ พล.อ. ขจร รุจวงศ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติที่กำลังเตรียมแผนก่อรัฐประหาร แต่ไม่ค่อยจะสำเร็จนักเพราะโดนฝ่ายรัฐบาลรู้ทันแผนการของเขาหลายต่อหลายครั้ง
"ได้ข้อมูลอะไรมาใหม่บ้าง" หัวหน้าใหญ่ปากคาบซิกการ์คิวบาชั้นดีเอ่ยถาม
"นี่เป็นข้อมูลใหม่ของฝ่ายรัฐบาล ผมทำการถ่ายเอกสารมา ฝ่ายรัฐบาลยังไม่รู้เลยว่าเราได้ข้อมูลนี้มาแล้ว พวกนั้นคงพบเอกสารในสภาพดี และโล่งอก"
"ดี ยังมืออาชีพเหมือนเดิม แล้วมีข่าวอะไรในนั้นบ้างล่ะ" ผู้รัฐประหารเอ่ยปากถามอีกครั้ง
พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีการขยับตัวของบางอย่าง
"นั่นใคร!! มึงออกมาเดี๋ยวนี้" ชาติ บุลวัตร ตะโกนก้องด้วยเสียงอันดัง คว้าปืนที่มีอยู่ในบริเวณนั้นหันไปยังต้นตอของเสียง
"ออกมา!!" ชาติตะเบ็งเสียงย้ำอีกครั้ง
ร่างนั้นเดินออกมา
พิชัย รอดดี เดินออกมา
ชาติ จำคนคนนี้ได้ มันคือทหารคนที่เรียกดูบัตรประจำตัวของเขา
"มึงวางปืนลง ไอ้ชาติ" เสียงนายดังขึ้น
ชาติหันไปด้านหลัง ขจร รุจวงศ์ กำลังส่องปืนมาที่เขา
ร.อ. ชาติ บุลวัตร เหงื่อไหลนองหน้าของเขา นี่มันเกิดอะไรขึ้น มือขวาของเขาทิ้งปืนลงกับพื้น
"มึงเป็นสายลับของรัฐบาล!!" พิชัยตะเบงเสียงใส่เขาเป็นครั้งแรก
"มึงกล้าดียังไงมาพูดกับกูแบบนี้ มึงเป็นใคร"
"กูเป็นสายของคณะปฏิวัติ สะกดรอยตามดูมึงหักหลังพวกเรามานานแล้ว เอกสารนั่นเป็นเอกสารที่รัฐบาลเอาให้มึง มันเป็นเอกสารการออกรบซึ่งเป็นเรื่องเท็จ มึงต้องการล่อให้เราหลงเข้าไปในกับดักของฝ่ายมึง"
"มึงพูดอะไรของมึง"
"กูรู้ละกัน กูเป็นคนจัดเอกสารนั้นตามคำสั่งของรัฐบาลให้เอง กูเลยต้องตามมึงเข้ามาถึงในนี้ เพื่อฝังศพมึง"
"ไอ้ชาติ กูผิดหวังในตัวมึงมาก พิชัย อยู่กับกูมานาน กูส่งมันไปเป็นสายลับในฝ่ายรัฐบาล มันไม่ทำให้กูผิดหวังเลย พิชัย!! ยิงคนทรยศซะ"
ปืนนั้นลั่นโดยปราศจากเสียงเนื่องจากใช้อุปกรณ์เก็บเสียง ร่างของ พล.อ. ขจร รุจวงศ์ นอนพับลงในทันที ผู้ก่อการรัฐประหารตายแล้ว
ชาติ บุลวัตร ตัวสั่น เขาสับสนไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ตัวว่าควรจะเงียบ
สายตานั่นส่องกราดไปทั่ว ก่อนที่ปากของพิชัย รอดดีจะเอ่ยขึ้น
"ตอนนี้เรายังออกไปได้ ฝ่ายกบฏยังไม่รู้ว่าเราฆ่าเขาแล้ว"
ทั้งสองรีบหนีออกไป พิชัย รอดดี วอเรียกทหารฝ่ายรัฐบาลเข้ามาจัดการที่มั่นของฝ่ายกบฏ
เสียงนกบินผ่านไป ตะวันยังคงเวียนในทิศทางเดิม ฟ้าใสสว่างเหมือนดังที่มันเคยเป็น ไม่มีสัญญาณใดๆเลยที่แสดงว่าบ้านเมืองเพิ่งจะผ่านวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่มา
ร.อ. พิชัย รอดดี ได้รับเหรียญกล้าหาญจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นักข่าวมากมายติดตามเขา สังคมยกย่องเขาเป็นวีรชน เป็นปูชนียบุคคลของชาติอย่างแท้จริง พิชัยยิ้มย่องในใจ เค้าตัดสินใจไม่ผิดที่ยิงนายของตัวเอง พิชัยได้รับการสรรเสริญ เมื่อตายไป ศิลปินสาขางานปั้นที่มีชื่อเสียงของประเทศต่างช่วยกันปั้นอนุสาวรีย์ให้แก่เค้า แด่วีรชน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)