วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

แดนเปลือย (The Naked Land) ภาค 2

เต็นท์หลังใหญ่นั้นถูกปักสมอบกให้ตั้งนิ่งอยู่ ณ กลางป่า สก๊อตต์ต้องเป็นยามรักษาการในคืนแรกนี้ หลังจากที่เขาบริการอาหารที่เขาเองเป็นคนจัดเตรียมมาให้แก่ทุกๆคน ที่จริงเขาเหนื่อยเหลือเกินที่จะรับงานนี้ แต่การจับไม้สั้นไม้ยาวที่ศาสตราจารย์ให้เสี่ยง ก็ยุติธรรมดี สก๊อตต์รู้ ทุกคนต่างก็เหนื่อยเหมือนๆกัน

ลมโบกพัดโชยความเย็นยะเยือกแห่งยาวค่ำคืน นัยน์ตานั้นมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงได้อย่างชัดเจน คืนที่สว่างแต่ทางออกยังคงมืดมน สก๊อตต์ยังคงยืนเฝ้ายามต่อไป ไม่รู้ว่าคืนนี้จะยาวนานอีกซักเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็สบายใจ อุปกรณ์ที่โรเบิร์ตติดตั้งไว้จะเตือนให้เขารู้ถ้ามีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้รับเชิญหลุดเข้ามาได้ ความสบายใจนั้นเกิดขึ้นโดยที่สกอตต์ไม่ได้รู้เลยว่าเบื้องหลังโพรงหญ้าห่างออกไปไม่ไกลนั้นมีนัยน์ตาสีฟ้าเข้มทะมึนคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา เหมือนเตรียมตัวจะทำอะไรบางอย่าง

เบื้องหน้าของเขาคือสีไฟหลากหลายสลับสับเปลี่ยนกันไปทั่ว มันคล้ายมโนภาพที่เขาเคยเห็น อสุรกายพวกนั้นปรากฎกายขึ้นมาแล้วหาไปกับพวกนักสำรวจที่มากับเขา พลันปรากฎใบหน้าของ ศ.ดร.นิตย์ เดชธำรง ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาหาเขาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนหยุดนิ่งเมื่อเคลื่อนมาแทบจะถึงใบหน้าของเขา ปากบนใบหน้านั้นขยับ "ยินดีต้อนรับนะ นนท์ นาคะเกียรติ" เหมือนเช่นเคย นนท์พยายามจะตอบใบหน้านั้น แต่มันก็พลันหาไป มโนภาพกลายเป็นสีดำมืดในฉับพลัน
นนท์สะดุ้งตื่น เขาเห็นภาพนั้นอีกแล้ว ใบหน้าของท่านศาสตราจารย์ เขากำลังอยู่ที่ไหน กำลังจะเจออะไร เขาตอบไม่ได้ เขาไม่อยากรู้ เขาสับสน เหงื่อท่วมโทรมกาย พลันเกิดเสียงตะโกนที่ไม่คาดฝัน
"เสือ!!!! ช่วยด้วยๆ" สก๊อตต์ยังส่งเสียงขอความช่วยเหลือเหมือนเดิมอีกหลายครั้ง จนเสียงนั้นเงียบหายไป นนท์ นาคะเกียรติ์ ตื่นเต้น ตกใจมาก เขาเปิดกระโจมเต็นท์นั้นออก ขณะที่คนอื่นเพิ่งจะสะดุ้งลุกขึ้น ทุกคนดูต่างจะเหนื่อยเพลียเกินกว่าจะสามารถรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ สายตาของนนท์ สาดส่องไปทั่ว แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทำให้เขาเห็นมันได้อย่างเต็มที่ ร่างกายของเขาแข็งเกร็ง มันเป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เสือโคร่งตัวใหญ่ตัวนั้นยืนจ้องชายหนุ่มนักโบราณคดีจากอังกฤษ สก๊อตต์นิ่ง ร่างกายของเขาแข็งเกร็งยิ่งกว่านนท์มาก แววตานั้นหากเพ่งมองดูลึกๆแล้วมันซ่อนความหวาดกลัวต่อภัยเบื้องหน้าอยู่ แต่เจ้าของแววตานั้นไม่ขยับร่างกายส่วนใดเลย สก๊อตต์รู้ว่าเขาไม่ควรเลือกที่จะหนี ความนิ่งอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่การหนีคือการวิ่งเข้าหาความตาย เสือโคร่งตัวหนักขนาดไม่น่าต่ำกว่า 200 กิโลกรัมนี้ หากวิ่งตามมาตะปบเขา คือความตายทันที
นนท์รู้ว่าจะต้องทำอะไรซักอย่าง แต่ความคิดของเขาไม่สามารถนำมาซึ่งคำตอบนั้นได้เลยในภาวะคับขันขนาดนั้น แต่มุมโต้ เขาแสดงสิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิด เขาย่องออกมานอกเต็นท์ในขณะที่คนอื่นๆยังคงเฝ้ามองเหตุการณ์นี้จากในเต็นท์นั่น มือขวาของชายตัวใหญ่ร่างดำกำไฟแชคอยู่ มือซ้ายกำไต้จุดไฟซึ่งเตรียมไว้เพื่อใช้นำทางยามค่ำคืน จุดไฟที่ไต้แล้วยกมันขึ้น ในมือซ้ายของเขาตอนนี้เหมือนประหนึ่งกำคบเพลิงอันร้อนระอุ เสือร้ายมองมาทางเขา มุมโต้ชี้ไต้ไฟไปยังมัน แต่ไม่เหมือนเสือร้ายทั่วไปที่มักจะกลัวไฟ มันไม่แสดงอาการกลัวต่อสิ่งที่มุมโต้ทำเลย นนท์ เกรียงไกร และ โรเบิร์ต ตามออกจากเต็นท์นั้น ทุกคนนำไต้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดมาจุดต่อจากมุมโต้ ทั้งสี่คนกำไฟกองใหญ่นั้นไว้ เสือร้ายไม่แสดงอาการกลัว มันละสายตาจากสก๊อตต์มายังพวกเขา แววตาของมันแสดงถึงความไม่เป็นมิตร มันมองมายังทั้ง 4 คนที่ไม่แสดงอาการกลัวต่อมันเหมือนกัน มันตะปบตีนหลัง และวิ่งเข้ามาหา นนท์ และพรรคพวกด้วยความเร็ว มันกำลังจะทำอะไร! มันไม่กลัวไฟ! มันกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อยัดเยียดความตายให้กับพวกเขา!?!
ทันใดนั้น เสียงประหลาดก็ดังขึ้นมา มันเป็นภาษาที่แปลกมาก แต่ที่น่าแปลกมากกว่านั้นคือเป็นเสียงของเด็ก!!! เสือร้ายหยุดลงอย่างแน่นิ่ง ทุกคนตะลึงกับเสียงที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เด็กคนนั้นคือใคร ปริศนาเฉลยภายในเสี้ยววินาทีพร้อมกับความประหลาดยิ่งกว่าอีกอย่างหนึ่ง เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้ชาย เดินออกมาจากแมกไม้รก ที่น่าประหลาดคือ เด็กคนนั้นเปลือยเปล่า เด็กชายเปลือยเดินมาหาเสือโคร่งอย่างใจเย็น มือเล็กๆนั่นลูบหัวสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดชนิดหนึ่งในโลก ให้หยุดนิ่งประหนึ่งสุนัขที่ได้รับการฝึกมา ทุกคนต่างตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลันเกิดเสียงจากคนต่างวัย เสียงหนึ่งดังขึ้น
"อาจจะเป็นการต้อนรับที่น่าตื่นเต้นไปหน่อยนะ แต่ก็ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ ผมรู้อยู่แล้วว่าซักวันหนึ่งคุณต้องมา"
นนท์ รู้สึกสะดุ้งกับเสียงๆนั้น มันเป็นเสียงที่ไม่น่าเชื่อ ชายเจ้าของเสียงนั่นเดินออกมาจากหมู่แมกไม้ ตัวของเขาเตี้ยกว่า ดร.นนท์ หนวดเครารุงรัง และหนามาก ที่สำคัญคือ ชายผู้นั้นเปลือยเช่นกัน นนท์ขยับแว่นกรอบหนาของเขาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
"ทะทะทะท่านศาสตราจารย์ ท่านใช่ไหมครับ" นนท์ นาคะเกียรติ์เอ่ยปากถาม เขามาเพื่อค้นหาการสูญหายของเสียงๆนี้ แต่ไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสได้ยินเสียงๆนี้ เบื้องหน้าของเขาภายใต้หนวดเครารุงรังนั้น คือ ศ.ดร.นิตย์ เดชธำรง นักโบราณคดีผู้ยิ่งใหญ่ของไทยและของโลก ในจิตใจของ ดร.นนท์ สับสนปนเปกันไปหมด นี่มันอะไร ทำไมท่านจึงยังอยู่ที่นี่ ท่านควรจะตายไปเมื่อสามปีที่แล้ว ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับท่าน แล้วทำไมท่านจึงเปลือยเปล่า!! ศาสตราจารย์ใหญ่เหมือนจะหยั่งรู้ในสิ่งที่เขาคิด ท่านเดินเข้ามาหาเขา
"คืนนี้ขอเชิญคุณ พักกับพวกเราก่อน แล้วทุกอย่างก็จะเคลียร์" พวกของท่าน!!! ดร.นิตย์ หันไปมองคนอื่นๆ แล้วตะโกนเป็นภาษาของเผ่าท้องถิ่น พลันมนุษย์อีก 5 คน ซึ่งเขาเห็นพวกนั้นไม่ถนัด แต่แน่นอน ทุกคนเปลือย คนเหล่านั้นเดินออกมาจากแมกไม้รับบริเวณนั้น มือกำผ้าคนละผืน พวกนั้นปิดตาทีมสำรวจทุกคน พวกมันจะพาพวกเขาไปไหน เขาไม่รู้ว่า ความน่ากลัว ความน่าสะพรึงกลัวอันใดจะเกิดขึ้นตามมาอีก แต่นั่นยังดีกว่าการที่จะตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งตัวนั้น นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายของ นนท์ นาคะเกียรติ์ ณ วันนั้น

แสงตะวันสาดส่องเหมือนหนึ่งแทงเข้าในขอบหนังตาของเขา นัยน์ตานั้นเริ่มปริสว่างขึ้น และลุกวาว นนท์ นาคะเกียรติ์ ตื่นขึ้นมา เขาไม่ได้มีความฝันสำหรับการหลับที่ผ่านไป เหลือบตามองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขา มันหายไป!! พลันจะล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อจะเอาของใช้บางอย่าง นนท์ก็ทราบในทันทีว่าเขาไม่ได้ใส่กางเกง!!! เขาไม่ได้ใส่เสื้อ!!! ใช่!! เขาเปลือยเปล่า!!! เหมือนคนพวกนั้นที่เขาเจอเมื่อคืน มันไม่ใช่ความฝัน!!! นนท์กลอกสายตามองไปรอบบริเวณ มันเป็นกระท่อมหลังเล็ก กะทัดรัด โครงของตัวกระท่อมทำจากไม้ในท้องถิ่น ฝาและหลังคามุงด้วยใบหญ้าแห้งๆที่นาได้บริเวณนั้น นี่มันที่ไหน!! เกรียงไกร สก๊อตต์ โรเบิร์ต และมุมโต้ พวกนั้นจะปลอดภัยรึเปล่า!! ศาสตราจารย์ใหญ่วัย 45 พยายามลุกขึ้น เขาไม่กล้าที่จะออกไปนอกกระท่อมด้วยร่างกายที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้าใดๆอย่างนี้
"จะเป็นอะไร พวกนั้นก็ไม่ได้จะทำร้ายเรา ดร.นิตย์ก็เป็นคนดี และมันก็แก้ผ้ากันหมด" ดร.ชื่อดังสบถกับตัวเอง เขาเปิดประตูและโผล่ตัวออกไปนอกกระท่อม ร่างกายที่เปลือยเปล่ารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของลม ที่พัดผ่าน ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย แต่นั่นยังไม่สามารถเทียบได้กับสภาพชุมชนที่เขาพบเห็น ยังมีกระท่อมอีกหลายหลังที่สร้างแบบเดียวกัน พลันเขาก็ได้เห็นผู้คนเปลือยเดินผ่านไปมา คนพวกนั้นทุกๆคนยิ้มแย้มให้เขา แต่เขาไม่ได้ยิ้มตอบเลย ใบหน้าแสดงถึงความตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ คนพวกนั้นไม่ใช่คนดำ ไม่ใช่คนท้องถิ่น อาจมีคนดำอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายเมื่อเทียบกับคนสีผิวอื่น ชนเผ่านี้มีทั้งชนผิวเหลือง ขาว ผมทอง ดำ และแดง มีทั้งชายและหญิง เดินไป เป็นความหลากหลายทางชนชาติที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน นี่มันอะไร!! คำถามในใจเกิดขึ้น ที่จริงมันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เขารู้ว่าคำตอบของทุกสิ่งกำลังใกล้เข้ามาเมื่อเขาใดที่เขาพบ ดร.นิตย์ เดชธำรง ผู้ที่คนทั้งโลกคิดว่าเสียท่านไปแล้ว แต่ในขณะที่ยังไม่เจอท่าน สายตาของเขาก็เพิ่มคำถามอีกมากมาย ไม่นานร่างเปลือยผิวขาว ผมทอง กับหนวดเครารกรุงรัง ก็เดินเขามาหาเขา ร่างนั้นก้มมองของลับของ ดร.นนท์ นาคะเกียรติ สองมือนั้นรีบปิดอวัยวะที่ไม่เคยได้แสดงต่อใครผู้ใดมาก่อน ชายเปลือยแหงนหน้าขึ้นมองตาเขา ปากนั้นส่งเสียงเป็นภาษาอังกฤษ "ผมล้อเล่นหรอก ผมรู้ว่าคุณยังไม่เคยเปลือยเปล่าเช่นนี้ ผมชื่อโรเจอร์ครับ ดร.นิตย์ และทุกๆคน กำลังรอคุณอยู่ ตามผมมาได้เลย" ชายที่บอกเขาว่าชื่อโรเจอร์เดินเบือนหน้าไปอีกทางแล้วเดินไป ดร.นนท์ เดินตามเขาอย่างไม่ลังเล เขาไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่าอยู่ดักดานในกระท่อมหลังนี้

ลมพัดโชยเย็น แต่ขนที่เคยลุกซู่เมื่อครั้งสัมผัสบรรยากาศครั้งแรกก็เริ่มปรับสภาพได้ สภาพบ้านเมืองของชุมชนคนเปลือยนี้ดูแล้วน่าอยู่มาก มันกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีซีเมน ไม่มีพลาสติก และแน่นอนไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่คนจะสวมใส่ เขาเดินตามโรเจอร์ผ่านผู้คนมาหน้าหลายตา หลายสีผิวมองเขาและยิ้มให้ เขาเบือนหน้ากลับมาทางฝรั่งเปลือยผู้นั้น
"อา..โรเจอร์ ผมมีอะไรจะถามคุณหน่อย" ศาสตราจารย์เอ่ยถาม แม้จะยังไม่เคยได้เสวนาอันใดกับโรเจอร์แต่เขากลับรู้สึกสนิทสนมกับชายผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก
"ผมเสียใจครับ ดร.นิตย์ บอกว่าท่านจะเป็นคนบอกเล่าทุกอย่างให้คุณฟังด้วยตัวเอง"
นนท์เข้าใจ นี่ช่างเป็นการปฏิเสธที่จริงใจซะเหลือเกิน

เขาทั้งคู่เดินมาใกล้จนใกล้ถึงศาลาหลังหนึ่ง ดร.นิตย์ กับทุกๆคนในทีมวิจัยนั่งรอเขา เขาตื่นเต้นมากที่ได้เจอคนเหล่านี้ แม้ทุกๆคนจะอยู่ในสภาพเปล่าเปลือยก็ตามแต่ทุกคนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
"มาเถอะ พวกเรากำลังรอคุณมารับประทานอาหารร่วมกัน" ศาสตราจารย์ที่ลึกลับที่สุดในโลกคนหนึ่งกล่าว ดร.นนท์ยิ้มรับ เขามองไปโดยรอบมันเป็นศาลามุงด้วยหญ้าขนาดใหญ่โอ่งโถง เป็นครั้งแรกที่นนท์ นาคะกียรติ์ เห็นสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้เป็นกระท่อม ไม่รู้ว่าเวลาต่อๆไป เขาจะได้เห็นอะไรที่เป็นสิ่งแรก ณ ดินแดนแห่งนี้อีก
"ทานอาหารกันดีกว่า อาจารย์" เกรียงไกรเชื้อเชิญ เขารู้สึกแปลกๆไป เขาสนิทกับเกรียงไกรพอสมควร แต่ก็อดเขินไม่ได้ที่จะพูดคุยกับลูกน้องเก่าในสภาพเปลือยเปล่าเช่นนี้ ที่แปลกกว่านั้นคือ อาหารนี่มีแต่พืช ผัก และผลไม้ นนท์ลองรับประทานดู มันอร่อยกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก กลืนคำแรกลงคอแล้ว
"พวกคุณมาที่นี่ได้ยังไงกันนี่" คำถามแรกจากปากนนท์ นาคะเกียรติ์ เล็ดรอดออกมาจนได้
"ดร.นิตย์ ส่งคนไปตามพวกเรามา เราอยู่กระท่อมคนละหลังกัน ท่านบอกว่าเราจะมารอคุณกันที่นี่ และจะร่วมทานอาหารกัน" สก๊อตต์ตอบ ชาวอังกฤษผู้นี้ดูไม่เหมือนกับชายที่โดยเสือโคร่งตัวยักษ์จ้องหน้าเมื่อคืนเลย โรเบิร์ตก็เหมือนเดิม เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ก็ดูร่าเริงขึ้นสังเกตได้จากใบหน้า แต่มุมโต้เองกลับดูร่าเริงเป็นพิเศษ
"มุมโต้ ทำไมคุณดูร่าเริงเป็นพิเศษนะเนี่ย" เป็นประโยคคำถาม ที่ไม่ใช่การแซวของ นนท์ นาคะเกียรติ์ เขาอดถามไม่ได้ที่เห็นชายดำร่างใหญ่นอกเสื้อซาฟารีดูร่าเริงเป็นอย่างมาก
"ผมคงต้องบอกพวกคุณทุกคนซะแล้วในวันนี้ นี่คือบ้านของผม" พวกเขาที่เหลือต่างมึนงง
"ผมเดินทางเข้ามาในป่านี้นานแล้วกับพ่อและแม่เมื่อยังเด็ก ช้างป่าตกมันตัวใหญ่โผล่มาในขณะที่พวกเรากำลังออกหาของป่า พ่อและแม่ตายคาตีนอันมโหฬารของมัน" มุมโต้หยุดพูด ราวกับไม่อยากเอ่ยถึงมัน
"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณ" สก๊อตต์ถามด้วยความอยากรู้
มุมโต้ที่คราวแรกดูท่าทางอึดอัดใจที่จะเล่า ก็เริ่มว่าต่อ "ผมรอดมาได้ ชายเปลือยคนหนึ่งเดินมาหยุดช้างตกมัน เขาวิ่งเข้ามาบังหน้าผม ตาจ้องไปที่ช้างแอฟริกันตกมันตัวนั้น ช้างสงบลง มันก้มตัวลงมา ชายคนนั้นลูบหัวช้างประหนึ่งสัตว์เลี้ยง แล้วจากไป" ทุกคนตะลึงกับเรื่องเล่าราวปาฎิหารย์
"ชายคนนั้นคือ ดร.เกมบัว เฮอนันเดซ หนี่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ดินแดนของเรา" เสียงจาก ดร.นิตย์ ยิ่งทำให้พวกเขาต่างงง แต่ก็เริ่มจะจับใจความได้
"ท่านช่วยมุมโต้ไว้ แล้วพาเขาออกไปนอกป่า มุมโต้ระลึกถึงสิ่งต่างๆได้ดี เขาต้องการกลับมาที่นี่ เขารู้สึกว่าท่านเกมบัวเหมือนประหนึ่งผู้ให้ชีวิตเขา" นนท์เข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับมุมโต้แล้ว แต่เขายิ่งสงสัยว่า นักโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์มาเกี่ยวอะไรด้วยในป่าแห่งนี้
ราวกับ นิตย์ ธำรงเดช อ่านใจของเขาได้
ท่านกล่าวต่อว่า "อย่างที่ทุกคนทราบ ศ.ดร.มาร์ติน จอห์นสัน และ ศ.ดร.เกมบัว เฮอร์นันเดซ ทั้งสองท่านเป็นบุคคลระดับรางวัลโนเบลของโลก ทั้งสองท่านเดินทางมาสำรวจหาแหล่งอารยธรรม ณ ป่าแห่งนี้ร่วมกัน แล้วพวกท่านก็ค้นพบ" ดร.นิตย์ หยุดกล่าว ราวกับจะให้คนอื่นๆร่วมถาม
"พวกท่านพบแหล่งอารยธรรมเหรอครับ?" โรเบิร์ตถามขึ้นมา บ๊อบไม่เคยเอ่ยปากอย่างตื่นเต้นขนาดนี้
"ท่านทั้งสองไม่ได้ค้นพบอารยธรรมอะไรที่พวกคุณคิดหรอก พวกท่านพบชายคนป่าเปลือยกลุ่มหนึ่งต่างหาก"
เงียบนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ "พวกท่าน มองเห็นคนเหล่านั้น ท่านทั้งสองจึงได้เห็นถึงชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง และเลือกที่จะทิ้งชีวิตแบบดั้งเดิมในสังคมของท่าน"
"สู่ดินแดนที่ไร้อารยธรรม??" สก๊อตต์ถามโผล่งขึ้นมา
ศาสตราจารย์ผู้ลึกลับ กล่าวตอบอย่างใจเย็น "อารยธรรมของพวกคุณคืออะไร คือเสื้อผ้า อาวุธ หน้ากาก ความรุนแรง และการหลอกลวงกระนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ดินแดนของเราก็คงไร้ซึ่งอารยธรรม"
นนท์ นาคะเกียรติ์เข้าใจในทุกอย่างแล้ว นักโบราณคดีระดับโนเบลเห็นถึงสัจธรรมอันเที่ยงแท้ สังคมมนุษย์ที่แสวงหาความสูงส่งของอารยธรรมทางวัตถุ แต่ในทางนามธรรมแล้ว มนุษย์กลับสูญเสียความสูงส่งของอารยธรรมทางจิตใจไป ความรุนแรง ความโลภ การหลอกลวง และสิ่งต่างๆอีกมากมาย เข้ามาทำลายความสูงส่งของสังคมจนทำให้มันเสื่อมโทรมลง มนุษย์ในวันนี้ใส่หน้ากากเข้าหากัน หน้ากากที่บดบังความเป็นตัวเอง
"ความเปลือยเปล่าก็เสมือนการเปิดเผย คือสังคมที่จริงใจ ไม่มีอะไรจะต้องปิดกัน" ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ กล่าวและมองตาศาสตราจารย์รุ่นพี่
"ถูกต้องแล้ว คุณเข้าใจผม และท่านทั้งสอง นี่คือสาเหตุที่ผู้คนมากมายค้นพบเราในช่วง 20 ปี มานี่ แล้วเลือกที่จะไม่กลับออกไป" เขาเข้าใจ และทุกๆคนต่างเข้าใจ คนหลายเชื้อชาติเป็นคนที่เข้ามาในฐานะต่างๆ ทั้งนักโบราณคดี นักเดินป่า นักพฤษศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเศรษฐีที่มาฮันนีมูน คนเหล่านี้พบเห็นความประเสริฐนี้ และเลือกที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไป โดยโลกคิดว่าเขาสาบสูญ นี่คือสาเหตุที่คนอื่นๆต่างลือกันว่านี่เป็นสังคมมนุษย์กินคน มนุษย์มองทุกอย่างที่ตัวเองไม่รู้อย่างเลวร้ายเสมอ
"สังคมของเรามีการแบ่งงานกันทำ มีหัวหน้า มีลูกน้องเหมือนสังคมปกติ เพียงแต่เราไม่ทำร้าย หรือหลอกลวงกัน อยู่กันอย่างสันติและช่วยเหลือกัน เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ และบริโภคอาหารจากพืช เรารู้จักนิสัยของสัตว์ป่า นี่คือสังคมที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างต้องเข้าใจกัน ความรุนแรงทำให้เกิดความรุนแรงกลับมา ความเข้าใจต่างหากที่ทำให้ทุกคนรวมทั้งสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ" คำพูดนั่นทำให้ทุกอย่างช่างกระจ่างชัดซะเหลือเกิน
ดร.นิตย์พาทุกคนเดินชมดินแดนแห่งนี้ การช่วยเหลือกัน รอยยิ้ม การแบ่งปัน และที่สำคัญคือความจริงใจ พบเห็นได้ตลอดในวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ มันช่างต่างจากดินแดนที่นนท์จากมา นนท์ย้อนถามตัวเองในใจว่าสังคมมนุษย์กำลังเจริญขึ้นหรือถอยหลังลงคลองกันแน่
"แล้ว นักโบราณคดีทั้งสองท่านอยู่ไหนแล้วครับ ท่านศาสตราจารย์" นนท์ นาคะเกียรติ์ ถามในสิ่งที่เขาปรารถนาจะทราบอย่างยิ่ง
"ท่านทั้งสองเสียชีวิตไปแล้วอย่างสงบ ท่านมีความสุขมากบนดินแดนนี้"
"ผมเสียใจด้วยจริงๆครับ"
"ไม่ต้องเสียใจหรอก พวกท่านไปสบายแล้ว ท่านทั้งสองตายหลังจากดำรงชีวิตอย่างสงบ ช่วยเหลือผู้คน พวกท่านจากไปท่ามกลางทุกๆคนที่รักพวกท่าน" ทุกคนต่างทราบซึ้งในคำพูดคำนั้น
"พวกคุณสามารถจะเลือกที่จะอยู่ที่นี่ได้นะ ถ้าพวกคุณต้องการ ผมรู้ว่าโลกภายนอกมันร้ายเพียงใด" นิตย์ เดชธำรงกล่าว
"ผมอยู่ครับ ผมไม่ต้องการไปไหนแล้ว นี่คือบ้านของผม" มุมโต้แสดงเจตจำนงอย่างชัดแจ้ง
ส่วนคนอื่นๆไม่มีทีท่าอย่างนั้น พวกเขาพบเห็นสิ่งเหล่านี้ นั่นทำให้พวกเขาเกิดความตั้งใจบางอย่าง ศาสตราจารย์ผู้สาบสูญกล่าวต่อพวกเขาอย่างรู้ทันความคิด
"แต่หากพวกคุณต้องการจะกลับไป เราจะพาคุณออกไปให้ ขอให้เรื่องราวของเรานี้เป็นความลับประหนึ่งเทพนิยายที่ไม่มีวันที่สังคมภายนอกจะได้รู้ความเป็นจริง ขอให้สร้างสังคมให้บริสุทธิ์กว่าที่มันเป็นนะ และขอให้ทุกๆคนโชคดี" คำพูดประหนึ่งคำอวยพร พวกเขาน้อมรับ ก่อนที่ชนเปลือยจะพาพวกเขาออกมาส่งถึงเกือบชายป่า แล้วจากหายไป

สุริยาดวงเดียวกัน บนโลกใบเดียวกันนี้กำลังจะสิ้นแสง นนท์ นาคะเกียรติ์ยืนมองภาพสนามบินแห่งชาติคองโกซึ่งมีคนเดินขวั่กไขว่ไปมา เขามองมัน แต่นึกถึงเรื่องราวที่พึ่งผ่านไป มันเหมือนเป็นความฝัน เขานึกขัน เขาเคยยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องหาคำตอบจากเผ่ากินคนให้ได้ แต่ในขณะนี้เขายืนอยู่ที่เดิมนั่น ด้วยความมุ่งมั่นที่เปลี่ยนไป เขาไม่มีคำถามใดๆต่อชนเผ่านั้นเลย แต่กลับมีคำถามมากมายกับแผ่นดินที่เขากำลังจะกลับไป เขาเหลือบมอง สก๊อตต์ และโรเบิร์ต สองคนนี้ก็คงคิดเช่นเดียวกับเขา ทั้งคู่กำลังจะกลับไปยังแผ่นดินของแต่ละคน สก๊อตต์เล่าว่าเขาจะกลับไปทำงานในองค์กรช่วยเหลือมนุษยชน ส่วนบ๊อบนั้น เขาวางแผนที่จะทำงานวิจัยต่อไป แต่จะวิจัยในเชิงสร้างสรรค์ และยึดความเป็นวัตถุนิยมให้น้อยลง พลันเหลือบตามองลูกน้องเก่าคนเก่งของเขา ดร.เกรียงไกร ธรรมกฤต ตัดสินใจไม่ต่างจากคนอื่นๆนัก เขาเลือกที่จะทำงานในฐานะนักโบราณคดีต่อไป แต่จะมุ่งเน้นถึงเรื่องจิตใจของมนุษย์ให้มากกว่าความเจริญทางวัตถุ ในแววตาแห่งความมุ่งมั่นของเกรียงไกร และอีกสองคน นนท์ นาคะเกียรติ์ เห็นถึงความอ่อนโยน ความสมาถะ ความจริงใจ อันเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน แต่ดินแดนอันเปลือยเปล่าเติมมันให้พวกเขาได้จนเต็ม นนท์คิดถึง ดร.นิตย์ และมุมโต้ ควรจะน่าเสียดายไหม ที่สังคมมนุษย์ภายนอกจะต้องขาดคนดีๆอย่างพวกเขา แต่ถ้ามองในทางกลับกัน น่าแสดงความยินดีต่อผู้คนในชุมชนนั้น พวกเขาพบความยิ่งใหญ่ของชีวิตแล้ว แต่ตัวของเขาล่ะ เขายังต้องการอะไรอีก ทำไมเขาไม่อยู่ ณ แดนเปลือยแห่งนั้นกับคนที่เหลือ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็คือทางที่เขาเลือก เขารู้สึกถึงจิตใจของตัวเองที่เปลี่ยนไป มันเป็นผลจากช่วงเวลาที่ชายที่ประสบความสำเร็จ ตีค่าชีวิตไว้ในแบบแผน เกือบตายด้วยอุ้งตีนเสือโคร่ง แต่สุดท้ายก็พบจุดสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วก็จากมันมา
ทันใดนั้นความคิดทุกอย่างก็ยุติลง นักข่าวมากมายวิ่งกรูเข้ามาหาเขาอย่างนกรู้ พวกนั้นรุมสัมภาษณ์ถึงการกลับมาราวกับปาฎิหารย์จากทีมสำรวจทุกคน เขาเพียงตอบไปว่า พวกเขาหาชนเผ่านั้นไม่พบ มันไม่น่าจะมีอยู่จริง แต่ภายในป่ามีสัตว์ร้ายมากมาย เป็นไปได้ว่าคนที่หายไปอาจตายไปแล้ว เขาไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ สังคมนี้ในบางครั้งก็หนีการโกหกไม่พ้นจริงๆ อาจจริงอย่างที่ ดร.นิตย์ ว่า "โลกภายนอกช่างเลวร้าย"

แสงแดดสีนวลส่องผ่านเข้ามาในห้อง เป็นภาพของแมวขนปุกปุยสีขาวกำลังกินอาหารที่เจ้าของเลี้ยงมันอย่างเอร็ดอร่อย เครื่องให้อาหารทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ หนุ่มใหญ่วัย 45 ปีผู้เป็นเจ้าของเดินเข้ามาหามัน เขาจ้องและพูดกับมัน "ข้าว่าข้าเข้าใจโลกมากขึ้นแล้ว การเดินทางอันแสนไกลทำให้ข้าได้รู้ซึ้งว่าสิ่งที่เราทำอยู่ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราแสวงหาจริงๆก็ได้ เอ็งต้องรู้จักรับอะไรในด้านอื่นบ้างเหมือนที่ข้าได้มา" เขาปิดเครื่องให้อาหารนั้น แล้วเปิดกรงให้แมวน้อยน่ารักเดินออกมา "พรุ่งนี้ข้าจะพาเอ็งออกไปเดินเล่น เอ็งอยู่ในกรงนี้มานานเกินไปแล้ว" นนท์ นาคะเกียรติ์ ลูบหัวเจ้าแมวนั่น เขายิ้ม คืนนี้เขานอนอย่างมีความสุขในบ้านที่เขาจากมาหลายวัน

2 ความคิดเห็น:

Mo กล่าวว่า...

อ่านจบแล้ว พออ่านแล้วไม่ยาวอย่างที่คิดเลยแฮะ 14หน้า A4 เลยรึเนี่ย อ่านเพลินๆ เดี๋ยวเดียวก็จบแล้ว
ผจญภัยอยู่ดีๆมาเป็นปรัชญาเลยแฮะ หักมุมเผ่ากินคนดี ที่จริงเพิ่งโหลดหนัง Cannibal อะไรซักอย่างไปไม่นานมานี้มาดู ดูแล้ว แหวะๆง่ะ ดูหน่อยเดียวเลิก ไม่ไหว-*-
ตอนแรกก็งงว่าศ.จะเลี้ยงแมวทำไมในเมื่อชอบออกเดินทาง แถมขังแมวด้วย เพิ่งเคยได้ยินเนี่ยแหละ กะลังคิดอยู่ว่าถ้าศ.ไม่ได้กลับบ้าน จะทำยังไงกะแมวล่ะนี่

Suang กล่าวว่า...

เห็นด้วยกับ mo นะ แรกๆอ่านนึกว่าเรื่องผจญภัยแบบลึกลับซับซ้อน น่ากลัวซะอีก เพราะเขียนได้น่าติดตามและน่าลุ้นดี คิดว่าจะเจอเผ่ากินคนจริงๆ แต่ก็ถือว่าหักมุมได้สวยเลย แต่ถ้าจะให้ไปใช้ชีวิตแบบเปลือยๆก็คงจะไม่ไหวนะ มันเปิดเผยตัวตนเกินไป อ่านไปแล้วก็แอบหวิวๆอ่ะ โดยรวมก็ถือว่าสนุกและลงตัวดีนะ แต่อยากอ่านแบบผจญภัยเยอะกว่านี้อ่ะ เพราะเขียนได้ตื่นเต้นดี ชอบนะ

Winn On Youtube

Pedestrain On TV (บังเอิญมาก)