"อารยธรรมของพวกคุณคืออะไร คือเสื้อผ้า อาวุธ หน้ากาก ความรุนแรง และการ- หลอกลวงกระนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ดินแดนของเราก็คงไร้ซึ่งอารยธรรม"
เขาเป็นนักโบราณคดีหนุ่มซึ่งกำลังโด่งดังในเรื่องการศึกษาภูมิปัญญาและอารยธรรมของประเทศ ปริญญาเอกสองใบจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาส่งผลให้เขามีโอกาสได้รับทุนวิจัยในการศึกษาเรื่องราวทางอารยธรรมต่างๆ เขาเดินทางไปทั่วเพื่อศึกษา เปรียบเทียบอารยธรรมบ้านเชียงของไทย กับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ จีน เมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก ไซปรัส เขมร รวมถึงโรมัน หลังจากที่ ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ ได้เดินทางไปทั่วโลกแล้ว เขาได้กลับมาสร้างความฮือฮาที่สุดในวงการประวัติศาสตร์ไทย เขาค้นพบเส้นทางชลประทานที่บ้านเชียง รวมทั้งยังพบเครื่องมือทันสมัยในยุคนั้นเช่นรอก และคาน ซึ่งอยู่ตามตำแหน่งที่ ดร.นนท์ได้คำนวณไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เขาสามารถค้นหาแห่งอารยธรรมใหม่ๆได้มากมาย จากการสำรวจและคำนวณว่าพื้นที่บริเวณไหนน่าจะเป็นที่ตั้งของแหล่งชุมชนในอดีต เขายังสร้างชื่อในต่างประเทศอีกด้วย เขาค้นพบแหล่งอารยธรรมในเวียตนาม เกาะไต้หวัน รวมทั้งสามารถแปลภาษาโบราณของอียิปต์ได้อย่างละเอียด จนทำให้วงการประวัติศาสตร์ของโลกตื่นตะลึงมาแล้ว งานวิจัยของเขาสร้างประโยชน์มากมายให้แก่สังคมโลก เขาได้เป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุ 40 ปี นิตยสารชื่อดังของต่างประเทศนำใบหน้าขาวๆ ใส่แว่นกรอบหนาสีดำ กับเสื้อเชิร์ตเก่าๆสีขาวแกมเหลืองอันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาไปแล้วตามกาลเวลามาเป็นภาพขึ้นปก ยกย่องเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์แห่งทศวรรษ รวมทั้งถูกเสนอชื่อขึ้นรับรางวัลโนเบลด้วย
แสงแดดสีนวลส่องผ่านเข้ามาในห้อง เป็นภาพของแมวขนปุกปุยสีขาวกำลังกินอาหารที่เจ้าของเลี้ยงมันอย่างเอร็ดอร่อย มันอยู่ในกรงนี้มานานแล้วนับตั้งแต่เขาซื้อมันมาจากสวนจัตุจักร มันไม่มีความจำเป็นต้องออกไปจากกรงนี้ ในเมื่อเจ้าของเลี้ยงดู ให้อาหารมันอย่างดี หนุ่มใหญ่วัย 45 ปีผู้เป็นเจ้าของ มองตัวเองในกระจก สายตาคู่นั้น เขาอาจจะเป็นคนเดียวล่ะมั้งที่เคยเห็นตัวเองตอนไม่ใส่แว่นตากรอบหนาอันนั้น ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ จ้องภาพที่สะท้อนกับกระจกเงา "กูคือคนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงจากการค้นพบอะไรมากมาย แต่ทำไม ทำไมกูยังเหมือนกับว่ากูต้องการอะไรอีก กูควรจะหยุดและพักผ่อนมั้ย" นนท์กล่าวกับตัวเอง เขาไม่เข้าใจ นี่อาจเป็นกิเลสของคน อายุขนาดนี้เขาควรจะทำงานในห้องทำงาน กินเงินเดือนสูงๆ มีลูกมีเมียได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงอยากเดินทางไปเพื่อหาอะไรต่อมิอะไรมากมาย เขายิ้ม และมองไปที่เจ้าแมวน่ารักซึ่งกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยตัวนั้น "ข้าอาจจะเหมือนกับเองก็ได้นะ การเดินทางคือชีวิตของข้า ถ้าข้าขาดมันก็คงเหมือนเอ็งขาดอาหาร เราคงตาย" เขาเบือนหน้ากลับมาที่เตียงของเขา มีกระเป๋าเดินป่าใบใหญ่วางอยู่ กับเสื้อผ้า และของใช้ สะเปะสะปะไปหมด เขาเก็บของ เช็คพาสปอร์ตที่เตรียมจะใช้เดินทาง และไม่ลืมที่จะตั้งเครื่องให้อาหารแมวนั้นไว้เนื่องจากเขาคงต้องจากมันไปหลายวัน ดร.นนท์ กำลังจะไปแอฟริกา
เขาเคยได้ยินเรื่องชนเผ่ากินคนลึกลับในคองโกมานานแล้ว คนต่างชาติมากมายหายไปในป่าดงดิบในการสำรวจทางโบราณคดี นี่รวมถึงนักโบราณคดีชื่อก้องโลกในอดีตอีกหลายคน เริ่มจาก ศ.ดร.มาร์ติน จอห์นสัน และ ศ.ดร.เกมบัว เฮอร์นันเดซ นักโบราณคดีระดับรางวัลโนเบลของสหรัฐฯ และเสปน ซึ่งทั้งสองหายไปร่วม 20 ปีแล้ว นักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์ นักเดินป่า นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลายต่อหลายคนก็หายไปในดินแดนนี้ และที่สำคัญเมื่อราวๆ 3 ปีที่แล้ว ยังมีนักโบราณคดีชื่อดังของไทยด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นิตย์ เดชธำรง ผู้โด่งดังก้องโลกในวงการโบราณคดีหลังจากการค้นพบหลักฐานเส้นทางการติดต่อระหว่างเมโสโปเตเมียกับอารยธรรมสินธุ ก็กลายเป็นบุคคลสาบสูญไปด้วย ดร.นิตย์ อายุแก่กว่าเขาพอสมควร พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่เขากลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ เขาเข้ามารับหน้าที่เป็นนักวิจัยที่คอยช่วยเหลือท่าน ท่านเป็นคนให้การสนับสนุนเขามาตลอด สั่งสอนให้ความรู้เขา เขายังจำคนคนนี้ได้ดี ดร.นิตย์เคยบอกเขาว่า "อารยธรรมคือเครื่องแสดงความเจริญ เราเป็นนักโบราณคดี เราต้องทำหน้าที่แสดงความเจริญนี้ออกมาสู่สาธารณะ อย่าให้มันสาบสูญไปกับกาลเวลา" มันเป็นประโยคที่ให้กำลังใจในการทำงานแก่เขามาตลอด เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ ดร.นิตย์เป็นคนเก่ง และนิสัยดี ท่านมาที่นี่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพื่อหาชนเผ่ากินคน และช่างโชคร้ายที่ท่านพบ นี่ไม่ใช่ข่าวโคมลอย ทางการคองโกทราบเรื่องว่า ดร.นิตย์ กลายเป็นเหยื่อของชนเผ่านี้จากหนังสือการเดินทางของเขา ดร.นิตย์ จะมีติดตัวไว้ตลอด หน้าสุดท้ายท่านพรรณนาว่าท่านพบมันแล้ว และกำลังจะสะกดรอยตามไป ไม่มีข้อความใดๆหลังจากนั้น ทางการบุกเข้าไปช่วยเหลือแต่ก็ไม่พบ ศพของคนเหล่านี้ไม่เคยได้พบเห็นเลย คองโกดูเป็นแผ่นดินอันตรายสำหรับนักวิจัยแบบพวกเขา แต่นนท์ นาคะเกียรติ์ ไม่กลัว ไม่แน่มันอาจเป็นกิเลสอีกอย่างของเขา เขาชอบเดินทาง ชอบเสี่ยง และแน่นอนเขาต้องการหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับ ดร.นิตย์ เดชธำรง
ณ แผ่นดินแห่งความลึกลับกำลังจะได้ต้อนรับผู้มาเยือนที่คาดไม่ถึง เครื่องบินลำเล็กลงจอดที่สนามบินรัฐคองโก ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ เดินลงมาจากเครื่อง พลันนักข่าวมากมายจากหลากหลายประเทศก็เข้ามารุมล้อมเขา การมาของ ดร.นนท์ เป็นข่าวดังมากในวงการวิจัยเกี่ยวกับโบราณคดี เรื่องนี้ทำให้เผ่ากินคนในคองโกกลับมาโด่งดัง และพูดถึงกันมากอีกครั้ง ถ้าเป็นคนอื่นคงตื่นตะลึง แต่ ดร.นนท์ ชินกับเรื่องแบบนี้เขาพบนักข่าวมากมายมาตลอดในชีวิตการทำงานของเขา พวกนี้โผล่มาตอนเขาโด่งดัง และคงจะจากไปหากงานของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของคนพวกนี้ก็ได้ นนท์ นาคะเกียรติ์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวซักพัก ไม่นานก็มีเสียงตะโกนออกมาจากนอกวง
"ท่านศาสตราจารย์ครับ รถซาฟารีพร้อมแล้วครับ ท่านจะไปเลยรึเปล่าครับ"
"ไปเลยสิ ขอบใจมาก เกรียงไกร" นนท์ นาคะเกียรติ์ ตอบผู้ส่งเสียงหนุ่มหล่อตัวสูงใหญ่ผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึก
เขาเดินฝ่ากลุ่มนักข่าว แล้วขึ้นไปนั่งข้างหลังรถซาฟารีคันนั้น ซึ่งจอดอยู่ห่างไม่ไกล คนขับเป็นคนผิวดำรูปร่างใหญ่ใส่ชุดลาย คงชาวพื้นเมืองคองโก เกรียงไกรขึ้นรถมานั่งข้างๆคนขับ รถเริ่มออกเดินทาง
"ขอบใจอีกครั้งนะเกรียงไกร ที่มาดูแลผมอย่างดี"
"โธ่ท่านศาสตราจารย์ครับ ท่านมีบุญคุณกับผมขนาดนี้ ถ้าผมรู้ว่าท่านจะมา แถมมาดูงานวิจัยของผมด้วย จะไม่ให้ผมดูแลท่านได้ยังไง"
ดร.เกรียงไกร ธรรมกฤต เป็นอดีตนักวิจัยที่ทำงานร่วมกับ ดร.นนท์ มาตั้งแต่ครั้งขุดหาอารยธรรมบ้านเชียง ก่อนจะออกมาทำงานวิจัยอันสุดจะอันตรายนี้
"งานไปถึงไหนแล้วหรือเกรียงไกร ได้อะไรบ้าง"
"ก็ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ครับท่าน เราพยายามหาชนเผ่าอานารยชนเผ่านี้ในป่าบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของคองโกมานานหลายเดือนแล้ว แต่ไม่พบอะไรเลย นี่ขนาดผมอาศัยบันทึกการเดินทาง และงานวิจัยของ ดร.นิตย์ ช่วยแล้วนะครับ คองโกเป็นป่าดงดิบครับ การจะเดินลุยเข้าไปยากลำบากจริงๆ" เกรียงไกรตอบอย่างเปิดเผย นั่นเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินนี้ที่เขาได้ยินชื่อ ดร.นิตย์ เดชธำรง
เกรียงไกรกล่าวต่อว่า "ก็หวังให้ท่านศาสตราจารย์ช่วยผมล่ะครับ ท่านคงจะพอกำหนดจุดบริเวณได้เพื่อเราจะได้ค้นหาต่อไป"
"ไม่มีปัญหาหรอกเกรียงไกร แต่ก่อนอื่นน่ะ เรียกผมว่า อาจารย์ ก็พอ"
พวกเขาเดินทางมาเกือบถึงป่า บริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของทีมวิจัยของ ดร.เกรียงไกร หนุ่มนักโบราณคดีผู้เป็นเจ้าบ้านพาเขาเข้าไปชมสถานที่ปฏิบัติงานซึ่งเป็นกระท่อมสองหลัง ใหญ่กับเล็ก มุงด้วยหญ้าเป็นหลังคา งานนี้เป็นงานที่ท้าทายสำหรับนนท์มาก เขาเคยค้นพบแต่อารยธรรมที่ดับสูญไปแล้ว แต่วันนี้เขากำลังจะต้องเผชิญกับชุมชนกินคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจอกัน
"อาจารย์ครับ นี่ สก๊อตต์ นี่ โรเบิร์ต และนี่ ลืมแนะนำให้อาจารย์รู้จัก เขาชื่อ มุมโต้ครับ" เกรียงไกรชี้ไปที่คนดำร่างใหญ่ในชุดลายพรางที่พาพวกเขามายังที่นี่
"สองคนแรกเป็นผู้ช่วยของผมมาจากอังกฤษ และสหรัฐฯ คนหลังนี่เป็นนักเดินป่าท้องถิ่น ที่จะพาเราเข้าไปวันพรุ่งนี้ครับ"
ดร.นนท์ ทำความรู้จักกับทุกคน สก๊อตต์เป็นฝรั่งหัวทอง ผมสั้น ตัวเล็กประมาณคนไทยนี่แหละ เขาเป็นคนคุยสนุก เขาเล่าว่าเขาเบื่อชีวิตสุขนิยมที่อังกฤษซะเหลือเกินเลยตัดสินใจมาร่วมงานกับ ดร.เกรียงไกร คราวนี้ถึงแม้จะเสี่ยง และความพยายามหลายเดือนจะยังไม่สำเร็จผล แต่ก็ไม่น่าเบื่อเท่าชีวิตในอังกฤษที่เขาต้องทนอยู่มาทั้งชีวิต ส่วนชายร่างสูง ผอม ใส่แว่นหนาอย่างโรเบิร์ตนั้นต่างออกไป เขาเป็นนักวิจัยมืออาชีพ เขากระหายความสำเร็จ จึงตัดสินใจมาร่วมงานอันตรายนี้ทันทีที่ ดร.เกรียงไกร ชวนเขามา บ๊อบเป็นคนพูดน้อย และจริงจัง ส่วนมุมโต้นั้นมาใหม่ เขาเป็นนักเดินป่าคนที่ 5 แล้วที่ทีมวิจัยเปลี่ยนมา เพราะคนก่อนๆต่างกลัวงานนี้หมด นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้งานล่าช้า นอกเหนือจากความหนาทึบของป่า
นนท์ นาคะเกียรติ์ เข้าที่พักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ตรงกระท่อมหลังเล็กหลังจากร่วมรับประทานอาหารกับทีมวิจัยนี้เสร็จ เป็นอาหารง่ายๆ พออิ่ม เขาต้องนอนให้เต็มที่เพื่อการเดินทางในวันพรุ่งนี้
เบื้องหน้าของเขาคือสีไฟสีแดงสลับเขียวสลับน้ำเงิน แปรเปลี่ยนมั่วไปหมด นนท์กำลังสับสน เขาเห็นเกรียงไกร และทีมวิจัยหายไปกับแสงไฟเหล่านั้น พลันมนุษย์รูปร่างใหญ่น่ากลัว เขี้ยวหนาและเลือดที่ไหลนองเขี้ยวของมันทำให้มันยิ่งทวีความน่ากลัว พวกมันหลายร้อยคนรุมล้อมเขา ตัวของพวกมันอาบไปด้วยเลือด มือของมันบางตัวกำเครื่องในของมนุษย์อยู่ เล็บของมันยาวดูน่ากลัว พวกมันกำลังเดินเข้ามาหาเขา ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา พลันทุกอย่างก็หายไป และแล้วก็เป็นใบหน้าของ ดร.นิตย์ เดชธำรง เข้ามา ท่านศาสตราจารย์ยิ้มให้แก่เขา เขากำลังจะยิ้มตอบ ทันใดนั้นความดำมืดเข้ามาแทนที่ เขามองไม่เห็นอะไรเลย
"ท่านศาสตราจารย์!!!" นั่นเป็นเสียงแรกของเขาในวันใหม่ นนท์ นาคะเกียรติ์ สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันนั้น เหงื่อตกพราก เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาอาจจะกินอะไรผิดสำแดงเข้าไป หรืออาจเป็นเพราะการนั่งเครื่องบินมาหลายชั่วโมง หรืออาจเป็นผลของการปรับเวลาใหม่บนแผ่นดินใหม่ก็ได้ เขาหวังให้เป็นเช่นนั้น นนท์เหลือบสายตามองไปรอบข้าง ไม่เห็นคนในทีมวิจัยเลย เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปหน้ากระท่อม เกรียงไกรกำลังออกกำลังบริหารร่างกายอยู่ กล้ามเนื้อของเกรียงไกรดูแข็งแกร่งเหลือเกิน เขาต้องมีร่างกายที่พร้อมสำหรับการทำงานหนักอย่างนี้ นนท์นึกถึงเขาสมัยหนุ่มและยิ้ม เมื่อก่อนเขาก็มีร่างกายที่ฟิตเหมือนกัน ก่อนอะไรๆจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา กล้ามเนื้อที่เคยแน่นหนาก็เหี่ยวย่นลงไป หนุ่มนักวิจัยหันมาเห็นท่านศาสตราจารย์
"ท่านศาดเอ้ย อาจารย์ครับ นอนพักผ่อนก่อนได้ครับ เราคงจะเดินทางตอนสายๆครับ"
"อือ ก็ดี แต่ผมขอออกกำลังกายด้วยคนสิ" หนุ่มใหญ่กล่าวตอบ เขาเดินออกไปนอกกระท่อม ความกระชุ่มกระชวยของวัยหนุ่มเหมือนหวนกลับมาอีกครั้ง เขาไม่ได้คิดใส่ใจอะไรกับความฝันนั้นเลย หรือเขาอาจพยายามที่จะลืม
มุมโต้ชายร่างใหญ่ผิวดำในชุดลายพราง ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงการผ่านอะไรมาอย่างโชกโชน เกรียงไกรเล่าถึงมุมโต้ชายผู้เงียบขรึมคนนี้ว่า เขาเป็นนักเดินป่ามาตั้งแต่เด็ก เกรียงไกรเล่าว่าขณะมุมโต้ออกเดินป่าในวัยเด็กกับพ่อแม่ ครั้งหนึ่งพ่อแม่ของเขาต้องตายจากช้างแอฟริกันตกมัน วิ่งไล่ และเหยียบคนไม่เลือกหน้า แต่เขารอดตายมาอย่างปาฏิหารย์ และกลับออกมานอกป่า มาอยู่กับปู่ย่าที่เฝ้าตามหาเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหตุการณ์นั้นอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มุมโต้ดูเป็นคนลึกลับ เงียบขรึม ไม่มีใครรู้ว่าเขารอดมาได้ยังไง มุมโต้ไม่เคยเอ่ยกับใคร มุมโต้กำลังเตรียมสัมภาระทั้งหมดเพื่อการเดินทาง เขาเตรียมอาวุธครบมือ ปืนไรเฟิ้ลที่พร้อมจะปลิดชีพศัตรูผู้ไม่ได้รับเชิญก่อนที่มันจะทำอะไรที่ไม่คาดคิด ถัดไปนิดเดียวสก๊อตต์กำลังเตรียมอาหารมื้อสุดท้ายในสถานีนี้ให้แก่พวกเรา รวมทั้งเสบียงที่จะใช้เดินทาง หนุ่มอารมณ์ดีอายุน่าจะราวๆซัก 30 ต้นๆ ชอบทำอาหารมาก นนท์คิดว่าบางทีถ้า สก๊อตต์ไม่เป็นนักโบราณคดี เขาคงจะรวยจากการเป็นพ่อครัวใหญ่แน่ ขณะเดียวกันโรเบิร์ตก็กำลังเตรียมอุปกรณ์สำรวจทันสมัยอย่างขมั่กเขม่น มันจำเป็นมากเพื่อป้องกันอันตรายหากมีสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้เข้ามาใกล้ หรือไม่แน่มันอาจจะทำให้เรารู้ว่าเราใกล้ถึงอานารยชนเผ่านั้นแล้ว ดร.นนท์ กลับเข้ามาในกระท่อมนั่งลงบนเก้าอี้ เขาเริ่มดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ มี ดร.เกรียงไกร นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"ผมเสนอให้เราเดินทางในทิศทางนี้ ตรงนี้เป็นเขตป่าดงดิบที่หนาทึบ ในทางประวัติศาสตร์ของโบราณคดี ชาวป่ามักอยู่ตรงบริเวณนี้ของป่า" เกรียงไกรกล่าว
"คุณพูดมีเหตุผล ตรงเขตบริเวณนั้นก็เป็นไปได้ แต่ควรจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ผมเชื่อว่าชนเผ่านี้จะออกล่าเหยื่อซึ่งน่าจะเป็นพวกสัตว์ป่าที่มากินน้ำนะ" ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ชี้นิ้วลงบนแผนที่ เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มเดินทางที่จะน่าสะพรึงกลัว…
บริเวณนี้ของคองโกเป็นที่โล่งมาก ดร.นนท์ สามารถมองเห็นไปถึงเขตชายป่านั้นได้เลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาแอฟริกา เขาเคยไปร่วมขุดหาอารยธรรมที่อียิปต์ ไนจีเรีย รวมถึงซิมบัคเวย์มาแล้ว แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่กี่อึดใจ รถซาฟารีก็จอด มันเข้าไปในป่าไม่ได้แล้ว พวกเขาลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ออกมาพบพวกเขา พูดภาษาท้องถิ่น มุมโต้คุยกับพวกนั้นอย่างรู้เรื่อง
"นายครับ เขาบอกว่าให้ฝากรถไว้บริเวณนี้ และท่านผู้อำนวยการป่านี้ได้ให้วิทยุสื่อสารไว้ เพื่อให้พวกเราติดต่อกับเขาหากเกิดภาวะฉุกเฉิน" นั่นเป็นประโยคภาษาอังกฤษ หรือทุกๆภาษาที่มุมโต้พูดยาวที่สุด นับตั้งแต่นนท์รู้จักเขามา รัฐบาลคองโกรอบคอบมาก พวกเขาเรียนรู้แล้วว่าการหายไปของนักโบราณคดีระดับโลกทำให้ประเทศของเขาดูแย่เพียงใด พวกเขาคงไม่อยากให้พลาดอีก เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยังพูดต่อกับมุมโต้ และตบไหล่เขา นนท์ นาคะเกียรติ์ ถามเขาด้วยความสงสัย
"พวกนั้นพูดว่าอะไรหรือ?"
"เขาว่า พวกเราแน่มากที่กล้าเสี่ยงขนาดนี้ และขอให้โชคดี"
ท่านศาสตราจารย์ยิ้มแหยๆ หวังว่านี่คงเป็นคำอวยพร
พวกเขาเดินเลยจากชายป่ามาซักพักแล้ว นานพอที่จะมองกลับไปไม่เห็นขอบแห่งพงไพรนี้ มุมโต้ เป็นคนถือแผนที่ และเข็มทิศ เขาพา นนท์ และคนในทีมไปตามทางที่กำหนดไว้ ในป่าดงดิบอะไรๆก็เหมือนกันไปหมด ต้นไม้ หญ้า ดิน นนท์ นาคะเกียรติ์ ไม่รู้เลยว่าเขากำลังอยู่ตรงไหนแล้ว เขาเดินทางตามนักเดินป่าไปไป ตามทิศทางที่เข็มทิศเป็นผู้กำหนดให้เดิน
"คุณเคยกลัวมั้ยที่ต้องมาจับงานแบบนี้?" นนท์ถาม ดร.เกรียงไกร ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น มันไม่ใช่คำถามเพื่อทำลายความเงียบ แต่เขาอยากรู้จริงๆ
"ผมตัดความกลัวทิ้งไปหมดแล้วครับอาจารย์ ผมเลือกที่จะทำมันเอง ใจผมรัก ผมว่า ดร.นิตย์ ท่านก็คงคิดเช่นนี้ตอนท่านมาที่นี่" อีกครั้งที่เขาได้ยินชื่อท่านจากปากของเกรียงไกร ศาสตราจารย์ผู้หายสาบสูญยังคงมีอิทธิพลต่อคนรุ่นต่อๆมาอย่างคาดไม่ถึง ทันใดนั้นเสียงที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น "ขะ ขะ ขะ เข็มทิศ มันไม่หมุนแล้ว" มุมโต้ไม่เคยพูดตะกุกตะกักเช่นนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่มุมโต้รู้ เช่นเดียวกับที่คนอื่นรู้ว่า ถ้ามันเกิดขึ้นพวกเราจะเป็นยังไง "แล้วเราจะทำยังไงกันเนี่ย" สก๊อตต์ถามหลังจากตะลึงกับเสียงของมุมโต้ "อาจเป็นเพราะพายุสุริยะที่ทำให้อุปกรณ์แม่เหล็กเสียหาย เราคงจะหลงป่าแล้ว" โรเบิร์ตตอบ หนุ่มคนนี้ยังดูเยือกเย็นเหมาะสมเป็นนักโบราณคดีอย่างแท้จริง เกรียงไกรหัวหน้าทีมลองติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้แต่มันไม่ได้ผล พายุสุริยะคงทำลายอุปกรณ์สื่อสารนี่ด้วย "อาจารย์ครับ เราลองให้สัญญาณไฟ หรือเรียงใบไม้เป็นสัญญาณที่พื้นดีไหมครับ" เกรียงไกรถามผู้มีประสบการณ์ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง "ไม่มีประโยชน์หรอก ป่าบริเวณนี้ทึบมา ไม่มีทางที่เฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลคองโกจะเห็นเราได้ ตอนนี้เราต้องหาทิศทางให้ได้ก่อน" นนท์ นาคะเกียรติ์ตอบลูกน้องเก่าอย่างใจเย็น "ยังไงครับ" สกอตต์ถามด้วยเสียงอยากรู้ นนท์ยังไม่ตอบอะไรเขาเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ลูบมัน และยื่นมือที่ลูบนั่นให้ทุกคนดู ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขา มือของท่านศาสตราจารย์มีสีเขียว มันคือมอส พืชที่ขึ้นเกาะลำต้นของต้นไม้ใหญ่
"มอสจะขึ้นตรงทิศตะวันออก เพื่อรับแสงแดด เราคงจะพอคลำทางออกไปได้" ทุกคนดูโล่งออก แต่นนท์รู้ว่าปัญหามันไม่ได้จบแค่นี้แน่ เขาไม่อยากให้คนอื่นตื่นผวา ต้นไม้บริเวณอื่นไม่มีต้นมอสขึ้นมาเกาะ แต่เวลาอาจช่วยให้เขาพอคิดทางรอดได้ มุมโต้มองตาเขาอย่างรู้ทัน คนดำในชุดพรางมีหรือจะไม่รู้ว่าการหลงป่าดงดิบแบบนี้ไม่มีทางออกไปได้ มุมโต้รู้และรู้ยิ่งกว่านั้น นักเดินป่ารู้ว่านนท์คิดอะไร และรู้จักที่จะเงียบ
ท่ามกลางหมู่มวลไม้ที่หนาทึบ เวลาเย็นแทบจะเหมือนกลางคืน ยากที่แสงตะวันจะสอดส่งถึงพวกเขาได้ ทีมสำรวจเดินทางต่อไป ตามหาต้นมอสที่ติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ในป่าดงดิบ ไม่นานการตามหามอสที่เกาะติดกับลำต้นไม้ก็สิ้นสุด มันไม่มีอีกแล้ว ต้นไม่บริเวณนี้ไม่มีมอสมาเกาะเลย พวกเขาเหมือนเดินมาถึงทางตัน "อาจารย์ครับ" วลีสั้นๆกับแววตาของเกรียงไกร มันสื่อความหมายที่มากมายมหาศาลยิ่งนัก นนท์รู้ว่าทุกอย่างจะต้องเป็นอย่างนี้ เพียงแต่มันเร็วเกินไป เร็วเกินว่าที่เขาจะพอหาทางออกอย่างอื่นได้ "ผมขอเสนอให้เราพักตรงนี้ ในคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยหาทางกันต่อ วันนี้ดึกมากแล้ว" ท่านศาสตราจารย์พูด ทุกคนต่างเห็นด้วยกับ นนท์ นาคะเกียรติ์ พวกเขาต่างดูใจเย็น นนท์รู้ว่าทำไมคนอื่นๆจึงใจเย็นได้ขนาดนั้น ทุกคนเชื่อในภาวะผู้นำของนักโบราณคดีที่คว่ำหวอดในวงการอย่างเขา เขาไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวัง
วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น