วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2550

The Pedestrian

คนเดินตรอก

บางครั้งเราก็เรียนรู้ชีวิตของตัวเองจากการสังเกตสิ่งต่างๆรอบข้าง แล้วย้อนกลับมามองชีวิตของตัวเราเอง เหมือนคนเดินตรอกที่มีโอกาสได้เฝ้าสังเกต ได้เห็นความเป็นไปของสิ่งต่างๆรอบตัว สิ่งที่คนบางคนที่นั่งรถผ่านไม่เคยได้เห็น

รถเบ็นซ์คันใหญ่สีเทาอ่อนแล่นผ่านทะลุซอยที่ลึกยาว ฟิล์มหนาปิดบังใบหน้าของคนขับ และเจ้าของรถที่นั่งอยู่ด้านหลังอย่างมิดชิด สีเทาอ่อนๆนั้นแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าของรถคันนั้น ใช่! ท่านใหญ่จริงๆ เจ้าของรถคันนั้นคือรัฐมนตรีใหญ่ ท่านมีอำนาจ และความร่ำรวยจนยากที่ใครจะเทียบได้

รถเบ็นซ์แล่นมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ มันเป็นคฤหาสน์ที่ตกแต่งแบบยุโรป มีเสาโครินเทียน อยู่สี่ต้น ตั้งสู่งตระหง่าน แสดงฐานะของผู้เป็นเจ้าของอย่างสมเกียรติ์
ท่านรัฐมตรี สมเจตต์ ชาติวุฒิ เดินลงมาจากรถคันโก้
"ท่านครับ เมื่อซักครู่ คุณทัศน์ โทรมาครับ เตือนว่าพรุ่งนี้มีนัดเล่นกอล์ฟ ตอนเช้าครับ"
คนรับใช้แจ้งเนื้อความที่ตนรู้แก่รัฐมนตรีทราบ
วันนี้ท่านสมเจตต์ ชาติวุฒิ เข้านอนเร็ว เขาต้องเตรียมตัวสำหรับการดวลกอล์ฟเช้าวันพรุ่งนี้

ป้ายไม้สีสวยบนสนามหญ้านั่นเขียนอธิบายสภาพสนามของหลุ่ม 18 พาร์ 4 อย่างคร่าวๆ ถัดจากป้ายนั้นคือ ทัศน์ จิรานันท์ นักธุรกิจใหญ่ที่กำลังวิ่งเต้นสัมปทานของรัฐ และรัฐมนตรีสมเจตต์ ผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจเรื่องนี้ พร้อมด้วยบริวารของทั้งคู่สี่ห้าคน
"ผมตามคุณอยู่แต้มหนึ่ง หลุมนี้คุณจะเดิมพันยังไง" สมเจตต์ ชาติวุฒิ ถามนักธุรกิจใหญ่ที่ร่วมออกรอบกับเขา
"หลุมนี้เป็นหลุมสุดท้าย ผมให้หลุมนี้มีค่า 2 แต้มเลย ใครชนะได้ไปเลยดีมั้ยครับท่าน แต้มละหนึ่งล้านบาท"
"ตกลง ผมเล่น"
สมเจตต์ยิ้ม เขารู้ว่าเขาไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อเล่นกับคนที่กำลังจะวิ่งเต้นสัมปทาน
นักธุรกิจใหญ่แพ้จริงๆ หลุมนั้นเขาตีเสียอย่างไม่น่าเชื่อ ลูกพัตต์ง่ายๆก็หลุดปากหลุมไปอย่างน่าเกลียด เขาจ่ายเงินสดให้แก่คนของรัฐมนตรีหนึ่งล้านบาทตามตกลง
"ขอบพระคุณมากครับที่ให้เกียรติ์มาเล่นกอล์ฟกับผม ผมหวังว่าเราจะได้ทำอะไรอีกมากมายร่วมกันนะครับ"
สมเจตต์ยิ้มรับ เงินหนึ่งล้านกับเวลาช่วงเช้า ช่างเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าของนายห้างผู้นี้จริงๆ ถ้าการแกล้งแพ้ครั้งนี้ทำให้ทัศน์ได้รับสัมปทาน สมเจตต์นึกขำ นี่แหละนะชีวิตนักธุรกิจ ยอมทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ แต่ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรถ้าเขาจะให้ ทัศน์ จิรานันท์ ได้สัมปทานนี้ไป สมเจตต์พึมพำกับตัวเอง "นี่แหละนะชีวิตนักการเมือง"

มือกำปึกธนบัตรใบละพันหนาๆปึกนั้น สองตาก็จ้องมองมัน แต่ไม่ได้ด้วยความปิติเหมือนตามธรรมดาสามัญชน รัฐมนตรีจ้องมัน จิตใจเขาคิด ปากพึมพำกับตัวเอง ราวกับคนวิตกจริต
"ชีวิตกูนี่ผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน จากเด็กบ้านนอกเลี้ยงควาย กลายมาเป็น ส.ส. กลายมาเป็นรัฐมนตรี มีทั้งอำนาจ และก็.."
สมเจตต์มองไปที่ปึกกระดาษนั้น มือกระดกมันขึ้นลอยสูงนิดๆ แล้วรับมันเมื่อตกกลับลงมา อำนาจและ เงินคือทุกสิ่งในชีวิตนักการเมืองของเขา เขาทำหลายๆอย่างเพื่อให้ได้มันมา อย่างน้อยมันก็คุ้มกับเงินที่เขาต้องเสียไปในการเลือกตั้ง เขานึกย้อนถึงตอนที่ได้เป็น ส.ส.สมัยแรก เขาอภิปรายได้อย่างเฉียบคมในสภา นั่นทำให้เขาก้าวมาถึงการเป็นรัฐมนตรีได้เพียงแค่ในการเลือกตั้งสมัยที่สอง ทำให้ผู้คนมากมายได้รู้จักชื่อของ สมเจตต์ ชาติวุฒิ เขายิ้ม รถคันใหญ่นั้นกำลังแล่นไป

รถเบ็นซ์คันใหญ่สีเทาอ่อนแล่นผ่านทะลุซอยที่ลึกยาว สมเจตต์ ชาติวุฒิ กลับบ้าน
"ท่านครับ ท่านหัวหน้าพรรคต้องการให้ท่านโทรกลับด่วนเลยครับ" เสียงจากคนรับใช้ เป็นเสียงแรกที่ดังเข้าหูของเขา หลังจากที่กลับมายังคฤหาสน์
หัวหน้าพรรคไม่ได้โทรหาเขามานานแล้ว ตั้งแต่เขารับตำแหน่งนี้มากว่า 2 ปี วันนี้คงมีอะไรพิเศษเป็นแน่ สมเจตต์รีบเดินเข้าบ้าน คนสนิทของเขาต่อโทรศัพท์หาหัวหน้าพรรคให้
"ท่านหัวหน้าพรรคครับ มีอะไรครับท่าน"
"เออ คุณสมเจตต์ เหรอ อือ ผมมีข่าวดีจะบอกคุณน่ะ"
"อา…อะไรครับท่าน" รัฐมนตรีใหญ่อยากรู้
"นี่คุณสมเจตต์ฟังนะ ผมมีแผนการที่จะเลื่อนตำแหน่งให้คุณเป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 นั่นหมายความว่าคุณจะได้เป็นรายชื่ออันดับ 3 ต่อจากผม และท่านเลขาฯ ในการเลือกตั้งสมัยหน้า คุณว่าเป็นยังไง?"
"โห เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งครับท่าน"
"แต่ผมต้องการความร่วมมือจากคุณเล็กน้อย"
"ร่วมมือ…ได้ครับ ได้แน่นอน ว่าแต่ อะไรเหรอครับ"
"ช่วงสองปีที่เหลือผมอยากให้คุณออกมาเตรียมการเลือกตั้ง ผมจะให้คุณนพ รับตำแหน่ง รัฐมนตรีแทนคุณ"
"หมายความว่า…"
"เอาน่าคุณสมเจตต์ ผมเชื่อว่าคุณคงเข้าใจ ผมก็ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว อนาคตคุณในทางการเมืองยังมีอีกยาว คุณอายุเพิ่ง 45 เป็น ส.ส. เพิ่งจะสมัยที่สอง เป็นรัฐมนตรีได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ผมไม่มีเวลามากหรอกนะ คุณก็รู้การเมืองเดี๋ยวนี้สำคัญต้องมีเงิน โชคดีละกัน"
"แต่ท่านครับ มันไม่…" ผู้โทรไปตะเบ็งเสีย
ไม่ทันแล้ว ปลายสายวางหูไปแล้ว
สิ้นสุดการสนทนา
แต่ความคิดของเขายังไม่สิ้นสุด
สมเจตต์ ชาติวุฒิ รู้ดี นพ นันทชัย เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมหาศาล คนคนนี้กระโดดเข้ามาในวงการการเมืองเป็นสมัยแรก และได้รับการจับตามองเป็นพิเศษจากสังคม อำนาจเงินของนพมีมหาศาลยิ่งเมื่อใกล้สมัยเลือกตั้ง นั่นเป็นสาเหตุที่เขาโดนปลดกลางอากาศ การพูดว่าเขาสามารถอยู่ในลำดับสามของบัญชีรายชื่อเป็นเพียงการที่หัวหน้าพรรคต้องการแสดงให้เขาเห็นว่า ท่านมีอำนาจต่อการเติบโตทางการเมืองของเขาขนาดไหน และหากว่าเขาไม่ลงจากเก้าอี้ ก็ไม่แน่ว่าจะได้เป็น ส.ส. อีก รัฐมนตรีใหญ่ถอนหายใจยาว อำนาจและ เงินไม่จีรังจริงๆ
เขาอยากจะตะโกนให้สุดเสียง แต่เขาไม่ทำ
สมเจตต์ ชาติวุฒิ เดินออกไปนอกบ้าน ถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรซักอย่าง กับชีวิตของเขา
เขาเดินออกมาโดยไม่มีใครรู้

เขาเดินไปที่สวนสาธารณะแถวบ้าน สวนสาธารณะที่เขาไม่ได้มานานแล้ว
เขานั่งลงบนก้าวอี้ในสวน เขาคนเดียวเท่านั้นในบริเวณนั้น
สายตาคู่นั้นกลอกมองไปทั่ว นี่คือสวนสาธารณะที่เขาช่วยเหลือในการออกเงินสร้าง ยังมีป้ายขอบคุณติดอยู่หน้าสวนอยู่เลย ต้นไม้ต้นนั้นเขาก็ได้เป็นคนปลูก มันเป็นต้นแรกของสวนแห่งนี้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่กับทำเนียบ สภา บ้าน และสนามกอล์ฟ
"ลูกโป่งของหนู ลูกโป่งของหนู" เด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ทำลายความคิดขณะนั้นของรัฐมนตรี นิ้วชี้บนมือขวาน้อยๆของเด็กชี้ไปที่ลูกโป่งสีชมพู ที่ลอยไปติดกับกิ่งไม้ มันไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็เกินความสามารถที่เด็กขนาดนี้จะเอื้อมถึงได้
เขาเอื้อมมือไปดึงลูกโป่งมา ก้มตัวลง ยื่นลูกโป่งให้เด็กน้อย
"ขอบคุณค่ะ คุณลุง" เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาพูดกับรัฐมนตรีใหญ่ที่กำลังจะถูกปลด
เขาไม่ได้พูดอะไร ในใจของเขาไม่ได้คิดอะไร พลันรอยจุมพิตก็ประทับอยู่บนหน้าผากของเขา เด็กน้อยนั่นจูบลงบนหน้าผากของสมเจตต์ เธอถือลูกโป่งแล้ววิ่งหายไปอย่างมีความสุข
เขาอยู่คนเดียวอีกครั้ง
แต่ความคิดของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว

ฝูงนกบินวนไปทั่วท้องฟ้า บ้างร่อนลงมาหาอาหารแล้วกระพือปีกของมันไปสร้างความงดงามให้ฟากฟ้าเช่นเดิม ปลาดำผุดดำว่าย เช่นเดียวกับเต่าที่โผล่หัวขึ้นมาอย่างน่าเอ็นดู
อีกครั้งที่สมเจตต์ ชาติวุฒิ พึมพำกับตัวเอง
"กูในสภา กูที่บ้าน กูในสวนสาธารณะ เด็กน้อย เธอเรียกกูว่า "คุณลุง" "
คำพูดพึมพำที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง สมเจตต์นึกถึงสาวน้อยคนนั้น น่าเสียดายที่เธอจากไปแล้ว เขาอยากรู้ว่าเธอชื่ออะไร และอยากจะขอบใจเธอ
ขอบใจเธอที่ทำให้เขารู้จักชีวิต
ขอบใจเธอที่ดึงเขาลงมา จากชีวิตลอยสูงจากพื้นฐานของตัวเอง
เขาเหมือนลูกโป่งที่ลอยล่องไป จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมาจากจุดไหนของชีวิต เขาก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง มีบทบาทต่างๆไปในสังคม เป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. เป็นผู้สมัครที่ยกมือไหว้ชาวบ้านไปทั่ว เป็นนักศึกษา เป็นนักเรียน เป็นเด็กเลี้ยงควาย และก็เป็นคุณลุงที่ช่วยเด็กน้อยจับลูกโป่ง
เขายิ้ม
เขาดึงลูกโป่งลงมาคืนให้แก่เธอ เธอดึงใจลงมาคืนให้แก่เขา
สมเจตต์ ชาติวุฒิ ลุกขึ้นจากที่ตรงนั้น "พอกันทีสำหรับชีวิตที่สูงส่ง"
รัฐมนตรีใหญ่เดินกลับไปที่บ้านของเขา คฤหาสน์หลังเดิมกำลังจะต้อนรับเจ้าของที่เปลี่ยนไป

-จบ-

2 ความคิดเห็น:

Mo กล่าวว่า...

แวะมาเยี่ยมบล็อกใหม่^^ เขียนเรื่องมาลงเรื่อยๆล่ะ

Suang กล่าวว่า...

อ่านแล้วชอบนะ เข้าใจง่าย ให้แง่คิดดีอ่ะ ชีวิตคนเรามันก็มีขึ้นมีลงแบบนี้แหละเนอะ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่า ถ้าเราลองมองอะไรหลายๆมุม ชีวิตมันก็คงง่ายขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ...แล้วเขียนมาให้อ่านอีกน้า

Winn On Youtube

Pedestrain On TV (บังเอิญมาก)