แสงแดดสาดส่องสะท้าน แลเห็นแขนและขาอันบึกบึนของเขา เหล่าผู้คนเดินผ่านขวั่กไขว่ไปมา แทบทุกคนมุ่งมาที่เขา ถ่ายรูป และจากไป โดยไม่มีการร่ำลา พวกนั้นดูจะไม่รู้เลยว่ากำลังถ่ายรูปกับใครอยู่ อาจจะเห็นเพียงความใหญ่ และสง่าของเขา ก็เป็นได้ มือขวานั้นกำกระบอกปืนแน่น สายตาคู่นั้นไม่เคยเปลี่ยนทิศทางมาอย่างยาวนาน มันยังคงส่องกราดไปยังตัวเมืองดุจว่าเขาจะปกป้องเมืองนี้ตราบชั่วชีวิต หรือแม้จะไร้ซึ่งชีวิตไปแล้ว ไม่มีรอยยิ้มจากเขา ไม่มีการขยับตัว รูปปั้นนั่นแข็งแกร่งประหนึ่งภูผาที่ไม่สะท้านแรงลมใดๆ
เสียงปืนกลกราดดังวิวาทไปทั่ว เมืองที่ผู้คนเคยอยู่อาศัยอย่างมีความสุขตอนนี้กลายเป็นแผ่นดินเพลิง
เขายืนอยู่ที่นั่น
ณ ซอกตึกในเมืองใหญ่
ณ แผ่นดินที่เขาเกิด
ณ แผ่นดินที่เขารัก
ฟันของเขานั้นขบกันแน่น ร.อ. ชาติ บุลวัตร รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว แต่เขายังคงนิ่งและเงียบ การส่งเสียงเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ชีวิตเขาสิ้นสุดได้ เขามีงานสำคัญที่จะต้องทำ เขาจะตายไม่ได้ มือกำซองเอกสารนั่นไว้ ถ้าพวกนั้นเห็นมัน เขาอาจจะต้องตาย
สุนัขดมกลิ่นพันธุ์เยอรมันเชฟเพิต เหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
"หมาได้กลิ่นแล้ว พวกเรา เข้าไปในอาคารนั้น เตรียมอาวุธให้พร้อม มันต้องอยู่ในนั้นแน่"
ชาติ บุลวัตร คลายฟันที่ขบกันอยู่ด้วยความเครียด เขารู้ว่าหมาตัวนั้นคงจะได้กลิ่นรองเท้าและเสื้อผ้าที่เขาถอดเปลี่ยนไว้ในตึก ปากนั่นยิ้ม สายตาสอดส่องไปยังภายนอกตรงถนนใหญ่ กองทหารหายไปหมดแล้ว
ร่างนั้นขยับออกจากซอกมุมตึก แล้วอำพรางตัวเดินไปอย่างช้าๆ ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เวลานั้นมืดแล้ว เขามั่นใจว่าถ้าออกไปจากบริเวณนี้ ทหารฝ่ายรัฐบาลหน่วยอื่นคงจะไม่รู้แน่ว่าเขาเป็นใคร พวกนั้นคงจะคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน เสื้อทหารฝ่ายรัฐบาลที่เขาใส่ดูพอเหมาะพอเจาะ เขาเพิ่งเปลี่ยนมันกับศพของนายทหารฝ่ายนั้นคนหนึ่งที่นอนตายอยู่ในอาคาร
เท้ายังคงย่ำเดินออกไปให้ห่างจากบริเวณนั้น พลันเสียงหนึ่งก็ทำให้ ชาติ บุลวัตร ต้องหยุดนิ่ง
"หยุด!! ท่านอยู่หน่วยไหนโปรดแสดงตัว" นายทหารร่างใหญ่ชี้ปืนส่องมาตรงหน้าเขา
"ผมอยู่หน่วยลาดตระเวร กำลังจะนำเอกสารไปส่งแม่ทัพ"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงไม่สั่นไหว มือขวาชูซองเอกสารให้นายทหารคนนั้นเห็น
"ขอให้ท่านแสดงบัตรประจำตัวทหารด้วย ขณะนี้เป็นช่วงสงคราม คงจะไว้ใจใครไม่ได้ อาจจะมีการปลอมตัวมา"
"อือ ผมเข้าใจ" ผู้ปลอมแปลงตัวตอบ พร้อมยื่นบัตรประจำตัวทหารให้ทหารตัวจริงดู
"ผมคือ พ.ท. กิติศักดิ์ พนาศรไกร ตอนนี้คุณคงเชื่อผมแล้ว" ชาติ พูดย้ำ
ทหารคนนั้นตรวจดูบัตรประจำตัว
"ครับท่าน ขออภัยที่ต้องรบกวนท่านครับ" น้ำเสียงนั่นเริ่มสั่น เมื่อเห็นบัตรนายทหารใหญ่
"อือ ผมเข้าใจ ไม่เป็นไร คุณทำหน้าที่ได้ดีแล้ว คุณชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน?"
"ผม ร.อ. พิชัย รอดดี หัวหน้าหน่วยรบ 109 ครับ มีเป้าหมายโจมตีพวกขบถหากก้าวข้ามมาบริเวณนี้ครับ" ร่างนั้นตอบอย่างเข้มแข็ง
"ดีมาก ทำงานต่อไป" ชาติ พูดประหนึ่งเป็นทหารฝ่ายเดียวกัน
ร.อ.ชาติ บุลวัตรเดินผ่านไป เข้าผ่านเขตรักษาความปลอดภัยนั่นไป เขาจะต้องนำเอกสารนี้ไปให้แก่นายของเขา เพื่อก่อรัฐประหาร เกือบไปเหมือนกัน หลังจากกองทัพของเขาบุกขึ้นไปบนตึกที่เก็บเอกสารนั่น ฝ่ายรัฐบาลกลับรู้ทันมาล้อมไว้ โชคยังเข้าข้างที่เขาฝึกวิชาสายลับมา ทำให้รอดตายและได้ข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมา
สายตานั้นยังคงมองไปทางที่ คนที่อ้างตัวเป็น พ.ท. กิตติศักดิ์ พนาศรไกร จากไป เท้านั่นจ้ำตามอย่างแนบเนียน ร.อ.พิชัย รอดดี สะกดรอยตาม ร.อ.ชาติ บุลวัตร อย่างไม่ให้รู้ตัว
"นายครับ มันกำลังเดินไปแล้วครับ" ผู้สะกดรอยสื่อสารวิทยุกับนายของเขา
"ดีมาก ตามมันไป อย่าให้คลาดสายตา"
เท้าคู่นั้นจ้ำมาถึงหน้าอาคารหลังหนึ่งในมุมหนึ่งของเมืองหลวง มันเป็นอาคารที่เก่าใกล้ผุพังแล้ว สภาพอาคารเช่นนี้ไม่เป็นที่สังเกตใดๆเลยสำหรับเฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลซึ่งบินผ่านไปมา เช่นเดียวกัน ชาติ บุลวัตร ในชุดทหารรัฐบาลก็ไม่เป็นที่สังเกตอันใดเลย
"ท่านคือใคร" เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อชาติ เดินเข้าไปใกล้
"เราคือผู้ก่อรัฐประหาร" ชาติตอบ เท้าคู่นั้นเดินย่ำเข้าไปในตัวอาคาร
พิชัย รอดดี อยู่ใกล้บริเวณนั้น เขาได้ยินรหัสลับนั่นแล้ว มือขวาข้างถนัดกำแน่น นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่แล้ว เงินเดือนทหารเดือนละไม่กี่พันยังไม่พอยาไส้เขาและลูกเมีย ข้างหน้านี้คือจุดเปลี่ยนของชีวิต
พิชัยเดินไปห่างจาก ชาติ บุลวัตร เล็กน้อย
"ท่านคือใคร" เสียงเดียวกับที่ถามชาติ บุลวัตร เอ่ยปากถามอีกครั้งหนึ่ง
ร.อ. พิชัย รอดดี กุมมือที่สั่นไว้แน่น นี่เป็นงานที่น่ากลัวเหลือเกิน ถ้าพูดผิดแม้แต่นิดเดียว หรือแสดงอาการผวา เขาอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่ก็ได้
"เราคือผู้ก่อรัฐประหาร"
ผู้สะกดรอยเดินตามเข้าไปในตึกหลังเก่านั่น
เบื้องหน้าของชาติ บุลวัตร คือ พล.อ. ขจร รุจวงศ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติที่กำลังเตรียมแผนก่อรัฐประหาร แต่ไม่ค่อยจะสำเร็จนักเพราะโดนฝ่ายรัฐบาลรู้ทันแผนการของเขาหลายต่อหลายครั้ง
"ได้ข้อมูลอะไรมาใหม่บ้าง" หัวหน้าใหญ่ปากคาบซิกการ์คิวบาชั้นดีเอ่ยถาม
"นี่เป็นข้อมูลใหม่ของฝ่ายรัฐบาล ผมทำการถ่ายเอกสารมา ฝ่ายรัฐบาลยังไม่รู้เลยว่าเราได้ข้อมูลนี้มาแล้ว พวกนั้นคงพบเอกสารในสภาพดี และโล่งอก"
"ดี ยังมืออาชีพเหมือนเดิม แล้วมีข่าวอะไรในนั้นบ้างล่ะ" ผู้รัฐประหารเอ่ยปากถามอีกครั้ง
พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีการขยับตัวของบางอย่าง
"นั่นใคร!! มึงออกมาเดี๋ยวนี้" ชาติ บุลวัตร ตะโกนก้องด้วยเสียงอันดัง คว้าปืนที่มีอยู่ในบริเวณนั้นหันไปยังต้นตอของเสียง
"ออกมา!!" ชาติตะเบ็งเสียงย้ำอีกครั้ง
ร่างนั้นเดินออกมา
พิชัย รอดดี เดินออกมา
ชาติ จำคนคนนี้ได้ มันคือทหารคนที่เรียกดูบัตรประจำตัวของเขา
"มึงวางปืนลง ไอ้ชาติ" เสียงนายดังขึ้น
ชาติหันไปด้านหลัง ขจร รุจวงศ์ กำลังส่องปืนมาที่เขา
ร.อ. ชาติ บุลวัตร เหงื่อไหลนองหน้าของเขา นี่มันเกิดอะไรขึ้น มือขวาของเขาทิ้งปืนลงกับพื้น
"มึงเป็นสายลับของรัฐบาล!!" พิชัยตะเบงเสียงใส่เขาเป็นครั้งแรก
"มึงกล้าดียังไงมาพูดกับกูแบบนี้ มึงเป็นใคร"
"กูเป็นสายของคณะปฏิวัติ สะกดรอยตามดูมึงหักหลังพวกเรามานานแล้ว เอกสารนั่นเป็นเอกสารที่รัฐบาลเอาให้มึง มันเป็นเอกสารการออกรบซึ่งเป็นเรื่องเท็จ มึงต้องการล่อให้เราหลงเข้าไปในกับดักของฝ่ายมึง"
"มึงพูดอะไรของมึง"
"กูรู้ละกัน กูเป็นคนจัดเอกสารนั้นตามคำสั่งของรัฐบาลให้เอง กูเลยต้องตามมึงเข้ามาถึงในนี้ เพื่อฝังศพมึง"
"ไอ้ชาติ กูผิดหวังในตัวมึงมาก พิชัย อยู่กับกูมานาน กูส่งมันไปเป็นสายลับในฝ่ายรัฐบาล มันไม่ทำให้กูผิดหวังเลย พิชัย!! ยิงคนทรยศซะ"
ปืนนั้นลั่นโดยปราศจากเสียงเนื่องจากใช้อุปกรณ์เก็บเสียง ร่างของ พล.อ. ขจร รุจวงศ์ นอนพับลงในทันที ผู้ก่อการรัฐประหารตายแล้ว
ชาติ บุลวัตร ตัวสั่น เขาสับสนไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ตัวว่าควรจะเงียบ
สายตานั่นส่องกราดไปทั่ว ก่อนที่ปากของพิชัย รอดดีจะเอ่ยขึ้น
"ตอนนี้เรายังออกไปได้ ฝ่ายกบฏยังไม่รู้ว่าเราฆ่าเขาแล้ว"
ทั้งสองรีบหนีออกไป พิชัย รอดดี วอเรียกทหารฝ่ายรัฐบาลเข้ามาจัดการที่มั่นของฝ่ายกบฏ
เสียงนกบินผ่านไป ตะวันยังคงเวียนในทิศทางเดิม ฟ้าใสสว่างเหมือนดังที่มันเคยเป็น ไม่มีสัญญาณใดๆเลยที่แสดงว่าบ้านเมืองเพิ่งจะผ่านวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่มา
ร.อ. พิชัย รอดดี ได้รับเหรียญกล้าหาญจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นักข่าวมากมายติดตามเขา สังคมยกย่องเขาเป็นวีรชน เป็นปูชนียบุคคลของชาติอย่างแท้จริง พิชัยยิ้มย่องในใจ เค้าตัดสินใจไม่ผิดที่ยิงนายของตัวเอง พิชัยได้รับการสรรเสริญ เมื่อตายไป ศิลปินสาขางานปั้นที่มีชื่อเสียงของประเทศต่างช่วยกันปั้นอนุสาวรีย์ให้แก่เค้า แด่วีรชน
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
3 ความคิดเห็น:
เนื่อเรื่องหักมุมดีอ่ะ การเล่าเรื่องน่าสนใจ น่าตื่นเต้นและน่าติดตามดี แต่เราว่ามันสั้นและจบง่ายไปหน่อย ถ้าเรื่องมีที่มาที่ไปมากกว่านี้ก็คงดีนะ...
จบง่ายไปนิดก็จริงอยู่ แต่หักมุมมาขนาดนี้แล้ว ผ่านไคลแมกซ์ของเรื่องมาแล้วจบเลยก็ดีเหมือนกัน
แล้ว ร.อ.ชาติ เป็นไงต่ออ่า
อืม จิงด้วยแล้วร้อยเอก ชาติเป็นไงต่ออ่ะ จะมีภาคต่อรึป่าว แต่สำนวนเข้าใจง่ายดีนะ ง่ายกว่าปกติ อิอิ
แสดงความคิดเห็น