วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550

รอยเท้าของพ่อ - The Father's Footprint

รอยเท้าของพ่อ
The Father’s Footprint


ตะวันแดงส่องแสงลงในดงแดน

ช่างยากแค้นจะเดินต่อในแห่งหน

เพียงจะเดินข้ามไพรยังอับจน

ใครจะทนเดินไปทั่วทั้งไทยแดน

ดวงใจข้าช่างเหนื่อยและรันทด

ก็ปรากฏรอยเท้าช่างไกลแสน

ณ ที่นี้ ณ ที่ที่ สุดยากแค้น

เคยมีคนเดินแล่นผ่านแผ่นดิน

พ่อเคยมาที่นี่เมื่อนานแล้ว

พ่อมาช่วยพวกเราทั้งหมดสิ้น

พ่อเดินทางหาพี่น้องทั่วแผ่นดิน

พ่อเดินสิ้นข้ามถิ่นแดนพงไพร

ฉันเหม่อมองรอยเท้าก็ฉุกคิด

ทั้งชีวิตต้องยืนหยัดดั่งพ่อได้

ความมานะความเพียรไม่สลาย

จะอยู่กับฉันจนฉันตายอย่างพ่อเป็น

พ่อสอนพ่อสั่งฉันเสมอ

ทำสิ่งใดต้องเกิดหลังฉันคิด

และสิ่งนั้นต้องดียิ่งในดวงจิต

สุจริตเพื่อทุกคนในทุกทาง

เหม่อมองรอยเท้าของพ่อนั้น

ที่บากบั่นเพื่อแผ่นดินถิ่นไทยผอง

ที่ทรงทำเพื่อปวงไทยถิ่นขวานทอง

เมื่อฉันมองน้ำตาพาไหลออ

มือสองกำหมัดแน่นต้องทำได้

แม้นจะตายขอได้เสี้ยวของตัวพ่อ

จะยืนหยัดในความดีจะทำต่อ

เท้าก็ย้ำตามทางพ่ออย่างสุขใจ

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เช กูวาร่า (Che Guavara) - Viva El Che


ตะวันลับลาฟ้าบนเนินเขา
ตะลับลับลาเราจากขอบฟ้า
ตะวันเคยส่องแสงอยู่ตรงหน้า
วันนี้กลับลับลาเมินหน้าไป


ตะวันแดงแผดถิ่นแผ่นดินร้อน
ร่างหนึ่งนอนในป่าพนาใหญ่
ผู้นำชนต่อสู้คนจัญไร
วันนี้กลับหลับไปไม่หวนคืน

วันคืนเขาเคยต่อสู้เพื่อประชา
ให้มีสุขยืนสู้หน้าไม่ขัดขืน
ให้คนเคยนอนนั่งสู้หยัดยืน
เขาเป็นฟืนก่อไฟเสรีชน

โอ้ว่าผู้เป็นแพทย์ชาวอาเจน
เห็นทุกข์เข็ญไพร่ฟ้าผู้ยากจน
ขาดแม้นเสรีภาพแห่งตัวคน
ไร้หนทางดิ้นรนเผด็จการ

ปฏิญาณชีวิตของตัวเขา
จะเป็นของพวกเราทุกถิ่นที่
ไม่ใช่แค่อาร์เจนไตน์สู้ไพรี
แต่จะสู้เพื่อทุกที่ทุกแผ่นดิน

ปฏิบัติวางแผนที่เม็กซิโก
ต้องสู้กับครัสโตรกู้เกาะหิน
นามคิวบาของผู้คนในท้องถิ่น
มือจับปืนนอนนิ่งในเรือยนต์

เรือลอบเข้าเกาะใหญ่อย่างใจเย็น
เป็นคืนปราบทุกข์เข็ญประชาชน
ได้รับการยอมรับทุกทั่วคน
ชาวบ้านบนเกาะน้อยอยู่ข้างกัน

แล้วก็ปราบบาติสตามหาราช
กุมอำนาจแผ่นดินคิวบานั้น
ส่งฟิเดลเป็นใหญ่ในคืนวัน
ส่วนเขานั้นไม่หวังซึ่งสิ่งใด

วันหนึ่งลาครัสโตไปจากชาติ
เพื่อประกาศเจตนารมณ์อันใหญ่
ตัวกูบ่ได้เป็นของชาติใด
ตัวกูไซร้เป็นลาตินทุกทั่วคน

ในชาติใดไร้ซึ่งเสรีภาพ
ถูกเผด็จการกำราบในทุกหน
อยู่ใต้โลภแห่งผองมะกันชน
เขาจะสู้ผจญเพื่อเสรี

เช ต่อสู้ในหลายหลากประเทศ
จนสุดเขตสุดชีวิตแสนสั้นนี้
บนเนินดิน ณ โบลีเวีย เป็นชาติพลี
สิ้นคนที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์

40 ปี เชจากไปจากโลกเรา
40 ปี ความเศร้าน่าสงสาร
โลกตกเป็นของเล่นของจอมมาร
ที่ละโมบสืบสานจากวันนั้น

อเมริกันยังคงครอบครองโลก
อันทุกข์โศกของชีวิตยังมหันต์
โอ้ว่าคนหวังดีขาดผู้นำ
ไร้คนถือธงธรรมสู้ไพรี

ตราบใดหนอที่โลกยังไร้สุข
พันธนาการความทุกข์อยู่ทุกที่
เช ยังคงไม่ตายจากโลกี
เช ยังอยู่ที่นี่ไม่ห่างหาย

โอ้บุรุษผู้เป็นนักยุติธรรม
ผู้เห็นคนประสบกรรมเป็นเรื่องใหญ่
ผู้อยากเห็นคนลาตินลืมตาได้
ผู้อยากเห็นคนเป็นไททุกทั่วถิ่น

จะซ้ายขวาใช่ว่าบอกดีร้าย
แต่อยู่ที่หัวใจของคนสิ้น
ซ้ายอย่าง เช ที่ยอมตายเพื่อแผ่นดิน
จะโดนใครดูหมิ่นได้อย่างไร

ดังคำวาน ชอง ปอล ชาร์ต ท่านเคยกล่าว
ว่าโลกเรามี เช ผู้ยิ่งใหญ่
เป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์กว่าคนใด
เพราะมีใจเพื่อโลก เพื่อประชา

โอ้ลูกหลานไทยเทศจงเอาอย่าง
อย่าให้ร่างจากไปแสนไร้ค่า
จงตั้งมั่นยุติธรรมเพื่อประชา
จงยืนหยัดต่อสู้หน้าคนอธรรม์

โลก (Beings' World)

เคยมีคนบอกว่าโลกคือสิ่งที่สร้างมาอย่างลงตัว สมดุล และยืดหยุ่นที่สุด ด้วยระบบวิศวกรรม และพันธุกรรม ที่ยากจะหยั่งถึงได้ โลกเหมือนถูกสร้างจากสิ่งที่ตรงกันข้ามกันหลายๆสิ่ง น้ำกับไฟ ดำกับขาว ซ้ายกับขวา เหมือนดังปรัชญาหยินหยางของเต๋า โลกไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ มันหล่อหลอมจนเป็นสีเทา เป็นความลงตัวที่ยากจะอธิบาย แต่บางที บางคนก็กล่าวว่า มันไม่ได้มีอะไรเลย ไม่มีสิ่งต่างๆที่เราเห็น ไม่มีสีอะไรเลย

โลกสีขาว

แสงตะวันส่องแยงตาของเขา นัยน์ตานั้นค่อยๆเปิดคลายออกมาจนเบิ่งกว้าง เช้าวันใหม่ในชีวิตเริ่มต้นแล้ว

สนธิ ไม้เทศ พยายามจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็ลุกไม่ไหว ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ช่างมากเหลือเกิน มากแต่ก็คุ้ม เขาไม่ต้องการเวลาเช้าที่แสนโดดเดี่ยว สิ่งที่เขาต้องการคือเวลากลางดึก เพื่อนฝูง และเหล้า เขายินดีจะใช้เงิน และเวลาเพื่อแลกกับมัน

สนธิ ไม้เทศ มีความสุขเหลือเกิน เขามีเพื่อนมากมาย และไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงินหาทอง

ใครๆก็รู้ว่าตระกูลไม้เทศร่ำรวยมหาศาล ปู่ผู้เป็นต้นตระกูลของเขาเป็นจีนสื่อผืนหมอนใบ ค้าไม้ นำเข้าและส่งออกไม้กับต่างประเทศ นั่นคือที่มาของนามสกุล และความมั่งคั่ง ปู่ตายไปนานแล้ว เขาไม่เคยเห็นหน้าปู่ เขาเห็นแต่ผลแห่งทรัพย์สินของปู่ที่ตระกูลไม้เทศยังคงเสพสุขมาชั่วลูกชั่วหลานด้วยเงินฝากในธนาคารกับปันผลจากหุ้น

เขาไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือ ครั้งหนึ่งเมื่อครูพบว่าเขาไม่ได้ทำการบ้าน ครูถามเขาว่าทำไมเขาถึงไม่ตั้งใจเรียน เขาไม่ตอบ แต่ในความคิดของเขา ถ้าคนเราต้องเรียนเพื่อทำงาน ทำงานเพื่อหาเงิน ดังนั้นถ้าเขามีเงินแล้ว เขาก็ไม่ต้องเรียนและทำงาน

สนธิไม่มีปริญญา แต่เขามีบุญและวาสนา ซึ่งมันคือทางลัดในชีวิตของเขา คือโลกที่แสนสบายของเขา สนธิหลับตาลง เขายังไม่พร้อมสำหรับเช้านี้ บางทีเขาอาจจะตื่นในตอนใกล้ๆเที่ยง โทรหา เชอร์รี่แฟนสาว แล้วขับรถสปอร์ตไปรับหล่อนมากินกลางวันด้วยกันที่ร้านอาหารแพงๆซักแห่ง

โลกสีดำ

แสงตะวันส่องแยงตาของเขา นัยน์ตานั้นค่อยๆเปิดคลายออกมาจนเบิ่งกว้างอีกครั้ง ค่อยๆลุกขึ้นดูนาฬิกาซึ่งบอกเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว

สนธิ ไม้เทศ ลุกขึ้นจากเตียง โทรหาเชอร์รี่แฟนสาวของเขา
ไม่มีการรับโทรศัพท์
เขาโทรอยู่สามรอบ เขาไม่เคยทุ่มเทกับอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย สนธิเริ่มหงุดหงิด เขาโทรหาวิชัยเพื่อนของเขา นัดกันไปกินกลางวันที่ร้านหรูในห้างใหญ่ใจกลางเมือง บางทีไอ้ชัยอาจจะทำอะไรให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง
เขาเพิ่งรู้จักมันมาไม่นานนี้เองที่ผับแห่งหนึ่ง ชัยเป็นคนพูดเก่ง ผู้หญิงเยอะ เขาชอบมันมาก เขามักคุยกับเรื่องเที่ยวและผู้หญิง ผู้หญิงหลายคนของเขามาจากการแนะนำของชัย
สนธิขึ้นรถพอสส์คันโก้สีแดงเปิดประทุนของเขา วิ่งไปห้างนั้น เพื่ออาหารมื้ออร่อย เพื่อนที่แสนดี ช่างหัวเชอร์รี่มัน

สนธิ ไม้เทศ ถึงห้างที่ว่าแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้างอย่างสง่า อย่างน้อยก็ในความคิดของเขา ไม่มีใครไม่สนใจมองรองเท้าหนังแท้จากอิตาลี เสื้อและกางเกงออกแบบจากห้องเสื้อในกรุงปารีส นาฬิการาคาเรือนแสนจากสวิส เขาชอบการแต่งตัวแบบนี้ เขาดูมั่นใจ และโดดเด่น

วิชัยนั่งรอเขาอยู่ในร้าน เมื่อเขามาถึง สนธินั่งลง
"เป็นไงมึง ท่าทางมึงจะเบื่อๆ" ชัยถามแขกที่เพิ่งมาถึง
"ก็กูเบื่อ" เขาตอบไปแบบห้วนๆ
ซักพักความสบายก็เริ่มกลับมาพร้อมกับเบียร์ตอนกลางวันที่วิชัยสั่งมาให้ดื่ม เบียร์เยอรมันนี่วิเศษ มันทำให้เขาสดชื่น และลืมเรื่องน่าเบื่อ เขามองออกไปนอกร้าน ซึ่งเป็นกระจกใส
ห้างนี้ช่างกว้างใหญ่ มีแต่ของหรูหราขาย คนเดินไปเดินมา มากหน้าหลายตา ผู้หญิงแต่งตัวกันสุดๆจริงๆ สนธิยิ้มและจิบเบียร์ พลันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ควงชายร่างสูงใหญ่อย่างกระหนุงกระหนิง
"นั่นมัน!!" สนธิอุทาน
"ชาญพล รุ่งเรืองวิทย์ ลูกชายมหาเศรษฐีบริษัทสื่อสารไง เดี๋ยวนี้ควงสาวสวยเชียว ชอบมาเดินห้างบ่อยๆ สงสัยคงซื้อของบำเรอสาวอีกล่ะสิ" วิชัยพูดซะยาวเหยียด
"ไม่ใช่ กูไม่ได้หมายถึงมัน ไอ้เหี้ยเอ๊ย มันควงแฟนกู"
เขาไม่รู้ว่าเชอร์รี่ไปรู้จักไอ้ชาญอะไรนี่ได้ยังไง แต่เขาต้องรู้ให้ได้ เขาวิ่งออกไปจากร้าน ชัยวิ่งตามออกมาดูเพื่อนของเขา สนธิวิ่งไปขวางหน้าเชอร์รี่กับคู่ควงมหาเศรษฐีของหล่อน
"เชอร์รี่ นี่มันอะไร!!" เขาตะหวาดหล่อนเสียงดังลั่นห้าง
คนเดินห้างหันมาหาพวกเขาด้วยความมึนงง
"อะไรกัน คุณเป็นใคร ไปกันเถอะค่ะชาญ เชอร์รี่เบื่อแล้ว เราไปหาอะไรอร่อยๆกินที่อื่นดีกว่า"
ชาญพลทำหน้ามึนงง แต่ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาเดินไปกับหล่อน โดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง สนธิเดือด นิ้วชี้ไปที่สองคนนั้น พลางปากก็พล่าม
"เออดีอีเชอร์รี่ มึงได้ไอ้คนรวยแล้วมึงก็ทิ้งกู อีผู้หญิงดัดจริต ปอกลอกผู้ชาย"
ไม่มีการตอบโต้ มีแต่ไทยมุงที่มองสนธิด้วยความประหลาดใจ สนธิโมโหจัด วิ่งหมายเข้าไปหา สองคนนั่น ชัยดึงตัวเขาไว้
"มึงเป็นอะไร ใจเย็นๆสิ กลับไปแดกต่อ ไปเร็ว"
อาหารยังไม่ลงท้อง แต่สภาพจิตใจของเขาไม่พร้อมจะให้เขากินอะไรได้แล้ว เขาขึ้นรถ วิ่งรถด้วยความเร็วสูง หักเลี้ยวตรงหน้าห้าง เสียงดังโครม!! เขาหลับ เป็นการหลับที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

โลกสีเทา

แสงตะวันส่องแยงตาของเขา นัยน์ตานั้นค่อยๆเปิดคลายออกมาจนเบิ่งกว้าง เขาไม่รู้ว่านี่มันเวลาไหนกันแน่ แต่มันไม่ใช่บ้านของเขา นี่มันคือโรงพยาบาล เขามานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง เขาไม่รู้ ไม่มีใครมาเฝ้าไข้เขา แม่ของเขาคงกำลังช๊อปปิ้งอย่างสบายใจที่ฮ่องกง หรือไม่ก็มอนทีคัลโร่ ตั้งแต่พ่อตาย แม่ดูมีความสุขขึ้นเยอะ สนธิยิ้มแหยๆ เขาไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนี้ จะมีใครตามหาเขาไหมเมื่อเขามานอนเจ็บอยู่ตรงนี้ เขามองโทรศัพท์ มันไม่ส่งเสียงอันใด พยาบาลเล่าว่าพลเมืองดีพาเขามาส่งที่นี่ เฝ้าเขาอยู่ซักพักแล้วก่อนจะจากไป เขาอยากรู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร อยากจะตอบแทนเขา เมื่อพยาบาลออกไป โลกก็ว่างเปล่า เขาเหงา
พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เพื่อนเที่ยวของเขาถามเขาว่าคืนนี้จะไปไหม เขาบอกว่าเขาอยู่โรงพยาบาล เพื่อนถามว่าเป็นไร เขาตอบว่าถูกรถชน คำพูดของเพื่อนคือ หายเร็วๆนะจะได้กลับมาสนุกกัน
"ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูซึ้งพวกมึงจริงๆ" สนธิสบถกับตัวเอง
เพื่อนพวกนี้ไม่ได้สนใจเขาเลย สนแต่เรื่องเที่ยว
"ถ้ากูออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่กูจะเลิกคบพวกมึงให้หมด กูโดนรถชนแทนที่จะมาเยี่ยม"
สนธิวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิม พลันก็มีสายอีกสายเข้ามา
เชอร์รี่โทรมาหาเขา เขาไม่รับ มันดังขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่านับสิบรอบ จนในที่สุดเขาก็รับ
"สนคะ คุณรับแล้ว เชอร์รี่ขอโทษเรื่องเมื่อวันก่อน เชอร์รี่เลิกกับเขาแล้ว เชอร์รี่อธิบายได้นะคะ"
เขาปิดโทรศัพท์และวางมันลง แฟนของเขาก็อีกคน คบไม่ได้ เห็นคนที่ดีกว่าก็จากไป เขาจะไม่มีวันคืนดีกับเชอร์รี่อีกเลย
วันทั้งวันช่างว่างเปล่าและน่าเบื่อ เขาเริ่มคิด รอบข้างเขามีแต่คนที่คบไม่ได้ และปอกลอก
แต่แล้วเย็นวันนั้น วิชัยก็เข้ามาหาเขา
"เฮ้ย มึงเป็นไรมากป่าวเนี่ย วันนี้กูโทรหามึงแล้ว แต่มือถือมึงปิด กูเลยเอะใจโทรเช็คทั่วเมืองถึงรู้ว่ามึงอยู่นี่ มึงไหวป่าววะ"
สนธิยิ้ม
"ขอบใจว่ะที่เป็นห่วงกู"
ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไป ชีวิตอะไรมันจะแย่ไปซะทุกเรื่อง อย่างน้อยก็ยังมีไอ้ชัยอยู่กับเขา

โลกที่ว่างเปล่า

แสงตะวันส่องแยงตาของเขา นัยน์ตานั้นค่อยๆเปิดคลายออกมาจนเบิ่งกว้าง เช้าวันใหม่แล้ว เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่นาน ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเขาเปลี่ยนแปลงไปเยอะ เขาเลิกติดต่อกับเพื่อนเที่ยวทั้งหลายของเขา ไม่สนใจเชอร์รี่แม้หล่อนจะมาอ้อนวอนถึงหน้าบ้านของเขา เขารู้ว่าหล่อนถูกชาญพลเขี่ยทิ้งมา แต่เขาไม่ต้องการหล่อนแล้ว เขาโตพอแล้วที่จะรู้จักความเป็นจริงของโลก และไม่คบคนเห็นแก่เงิน
เขาหันมาทำธุรกิจลงทุนกับวิชัย เพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุด
วิชัยชวนเขาให้เล่นหุ้นมานานแล้ว ชัยบอกว่ามันเป็นทางหาเงินที่ดี และสนุก ซึ่งเขาก็คิดว่ามันสนุกจริง แต่เขาไม่สนใจเรื่องได้เงิน เขาสนแค่ความสุขที่ได้จากการเสี่ยง
เขาให้วิชัยเป็นคนดูแลเงินทองของเขา วิชัยจัดการเล่นหุ้น ขายหุ้นให้เขามาโดยตลอด สนธิมีความสุข วิชัยรายงานเขาตลอดมาว่าเงินของเขาเพิ่มพูนขึ้นขนาดไหน เขานอนฝันหวานทุกๆคืน
"นี่แหละหนาเพื่อนที่แสนดี"
แต่แล้วสามเดือนต่อมา วิชัยก็เหมือนหายตัว เขาติดต่อกับวิชัยไม่ได้มาไม่ต่ำกว่าสองอาทิตย์แล้ว สนธิมึนงง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาเช็คตัวเลขบัญชีเงินฝาก และหุ้นของเขา
มันไม่เหลืออยู่เลย!! เขาถูกโกง!! ถูกเพื่อนที่เขารักที่สุดโกงเขา
วิชัยเอาเงินไปแล้ว เขาไม่เหลืออะไร เขาเหลือแต่ตัวเอง โลกของเขาเหมือนพังทลาย ไม่น่าเชื่อ ภายในระยะเวลาไม่นานเขาเรียนรู้อะไรได้อีกมหาศาล

โลกใหม่ที่บริสุทธิ์

แสงตะวันส่องแยงตาของเขา นัยน์ตานั้นค่อยๆเปิดคลายออกมาจนเบิ่งกว้าง เช้าวันใหม่ในชีวิตเริ่มต้นอีกแล้ว
สนธิ ไม้เทศ พยายามจะลุกขึ้นจากเตียง จิตใจของเขาวุ่นวายไปหมด
"ชีวิตกู พอทีเถอะ"
สนธิ เดินขึ้นไปบนห้องสมุดของบ้าน เขากำลังค้นหาสิ่งๆหนึ่งซึ่งจะพาเขาไปยังความสุขได้ มันคือสิ่งที่หลายคนขนานนามว่ามัจจุราช
ปืนลูกโม่ที่พ่อของเขาเคยเก็บไว้ เขาจำได้ เขาเคยเห็นมันตอนเขายังเด็ก
ชั้นวางหนังสือนั่นเก่ามาก ฝุ่นเขรอะไปหมด เขาพบกระเป๋าสีดำ
ใช่! ภายในนี้คือปืนลูกโม่ที่พ่อซ่อนไว้
เขาเปิดมันออกมา มือขวาจับปืนนั้นขึ้น แล้วยกจ่อขมับด้านเดียวกัน นิ้วชี้ง้างจะเหนี่ยวไกปืน จิตใจของเขาสับสนปนเปกันไปหมด เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไร กำลังจะไปที่ไหน เหงื่อไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขากลัว เขากล้า เขากำลังบ้า เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาแล้วในตอนนี้ พลัน เขาเห็นกระดาษใบหนึ่งปลิวลงมาจากกระเป๋าสีดำที่เขาเปิดเอาปืน
มันปลิวมาแผ่ราบต่อหน้าเขา ราวกับว่ามันต้องการให้เขาอ่านมัน
สนธิวางปืนลง เขาจะอ่านมัน

"ปืนนี้ไว้ป้องกันตัว อย่าใช้ทำร้ายคน อย่าคร่าชีวิต เพราะชีวิตมีค่าเกินกว่าจะปลิดทิ้งด้วยปืนจาก พ่อ"

มันเป็นข้อความที่ปู่เขียนไว้ให้กับพ่อของเขา ปู่ต้องการเตือนไม่ให้พ่อใช้ปืนในทางที่ผิด และพ่อก็ไม่เคยทำ ปู่คงไม่คิดว่าคำสอนของปู่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง ในสถานการณ์อีกสถานการณ์หนึ่ง

สนธิอ่านมัน เขาทรุดตัวลงกับพื้น ปู่ของเขาพูดถูก ชีวิตนั้นมีค่าเกินกว่าจะปลิดทิ้งด้วยปืน เขาควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่บนโลกใบเดิม ชีวิตเขามีค่า เขาต้องยืนด้วยตัวเอง ที่ผ่านมาเขาคงนิยามโลกดีเกินไป หรือเลวร้ายเกินไป เขาต้องเริ่มต้นใหม่
โลกนี้กลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง เหมือนโลกใหม่ที่เขาต้องการจะไปถึง เพียงแต่มันเป็นนามธรรมใหม่ ณ สถานที่เดิม

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2550

แด่เพื่อน และผู้เกี่ยวข้อง (For Friend & Related - The Burmist Crisis)

ชนราษฏร์คว้าไม้ถือธรรม
ผู้นำอำมหิตโหดร้าย
เลือดนองกองพื้นคนตาย
เสรีภาพวอดวายบ่นปี้


ไฟลามเมืองชาติร้อนระอุ
ภิกษุถูกฆ่ายํ่ายี
พุทธธรรมในพม่าถูกขยี้
คนดีติดคุกติดตาราง

ปืนปังดังลั่นสั่นวิเวก
มนต์ดำเป่าเสกด้วยผีสาง
คนดีสิ้นลมลงบนทาง
เหลือถนนคงร้างให้เจ้ามอง

พระถูกจับปลดสบงจีวร
ไฟเลวร้อนแผดเผาให้เศร้าหมอง
เสื้อภิกษุดั่งเปลี่ยนไปสุดทนมอง
เหมือนนักโทษถูกตรองตรึงตรวน

ฟ้าเมืองมอญตอนนี้แดงทั้งฟากฟ้า
พื้นธารานองเลือดไม่เหือดแห้ง
คนถือธรรมถูกจองจำหมดเรี่ยวแรง
ผู้กลั่นแกล้งถือธงบนบัลลังค์

เรียกร้องหาคุณธรรมเคยคู่ชาติ
วันนี้ขาดไปแล้วล่ะกระมัง
ทหารหาญจึงจับพระผู้เปี่ยมธรรม
ทำร้ายจนตรากตรำสุดทนดู

เฝ้ารอหาวัน “จะเด็ด” จะกู้ชาติ
ใจองอาจพามวลชนเข้ารบสู้
ธรรมจะพ่ายแพ้อธรรมให้มันรู้
แผ่นดินสู สูจงสู้ จนใจวาย

โลกทั้งโลกต้องมองด้วยหมองเศร้า
เพื่อนร่วมโลกของพวกเราพบเคราะห์ร้าย
อ้ายระยำผู้นำฆ่าคนตาย
ชาติถิ่นแดนดินใดต้องช่วยกัน

กดดัน "ตันฉ่วย" ช่วยเมืองชาติ
ตัดขาดเผด็จการดื้อรั้น
ให้มันรับสาปสมบาปกรรม
ที่มันทำกับพระสงฆ์นาบุญ

โอ้แผ่นดินเมืองจีนยิ่งใหญ่
วันนี้ใยอัปยศอดสู
พี่น้องเพื่อนบ้านตายเพียงตาดู
ทั้งที่รู้ก็ไม่ทำไม่ช่วยชน

"จัตุรัสเทียนอันเหมิน" ชนเสรี
ก็ถูกมันบดปี้ศรัทธาป่น
ประชาธิปไตยถูกลำปืนละเลงพ่น
เสรีชนสิ้นวอดวายใจ

วันนี้มีโอกาสล้างบาป
เพียงกำราบเพื่อนบ้านที่เอาใหญ่
ให้หยุดนิ่งความโหดแห่งจิตใจ
ไม่ให้ไปทำร้ายมวลชน

คุณธรรมในโลกต้องปรากฏ
เพื่อสะกดใจทรามแห่งคน
ให้มีกรอบคํ้าจุนทุกแห่งหน
ประชาชนบนโลกจึงร่มเย็น

แล้วโลกจะมีเหลือให้คนดู
ให้ลูกหลานได้รู้ได้มองเห็น
ว่าพลโลกรุ่นเรานั้นคิดเป็น
โลกจึงได้ร่มเย็นให้เจ้ามอง

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550

แด่ชีวิต - For Lives

คืนค่ำจำนรรค์จา
แสงสุริยาพลัดพาหาย
อากาศแปรปรวนร้าย
ฟ้าที่กลายเป็นมืดดำ

เครื่องบินละลิ่วล่อง
ที่เที่ยวท่องนภานำ
แสงไฟจากตัวลำ
เป็นนัยว่าจะจอดลง

ล้อดิ่งเหยียบถนน
นำผู้คนมาพาส่ง
ล้อลื่นจากทางคง
ชนเนินดินในข้างทาง

ไฟลุกทั้งตัวลำ
เป็นควันดำทั้งหัวหาง
เรือแล่นบ่สุดทาง
ต้องมาค้าง ณ เนินตาย

ผู้คนนับเนื่องร้อย
ที่ต่างคอยถึงที่หมาย
เครื่องแล่นสู่วอดวาย
คืนที่ร้ายชีพที่ปลง

แปดสิบเก้าชีวิตเจ้า
ที่แสนเศร้าต้องดับลง
ดั่งโททนต์เสน่งคง
ชีวิตเจ้าต้องเล่าขาน

ว่าชีพต้องพลัดพราก
ต้องลาจากบ่สืบสาน
ชะตาบ่ได้ทนทาน
ณ วันวาน สูญสิ้นไป

แฝดพี่คลาดแฝดน้อง
ผัวเมียสองขาดหายใจ
แม่พ่อรอลูกไซร้
กลับมาไร้ซี่งชีวา

น้ำตาคลอเบ้าคน
ต้องเสียหล่นจนเป็นบ้า
คนที่จะมาหา
ก็บ่ได้ยลตากัน

คนที่เพิ่งจะไป
สักวันไซร้จะกลับมา
แต่แล้วอนิจจา
ต้องวายวา ณ เกาะไกล

คนที่คิดมาสุข
กลับพบทุกข์โหมเข้าใส่
คนที่รัก ณ แดนไกล
พิราลัยทำเศร้าหมอง

โอ้ชีพที่พลัดพราก
โอ้อากาศคืนคะนอง
หัวใจเคยอยู่สอง
วันนี้ล่องไปแดนใด

อำลาชีวิตโศก
ขอบุญโบกวิญญาณไกล
เปลี่ยนภพสงบใจ
เป็นอยู่ไซร้ไร้กังวล

แด่ผู้ต้องสูญเสีย
คนอ่อนเพลียแสนสับสน
พลัดพรากชีวิตคน
ที่ตนรักต้องจากไป

จงทนและสู้ต่อ
เพื่อชีวิตที่สดใส
คนเป็นต้องยิ้มได้
คนจากไปจึงยินดี

แด่ผู้มีชีวิต
จงพินิจคิดถ้วนถี่
ชีวิตคนเรานี้
ต้องระแวดระวังภัย

ถึงที่สุดอนิจจา
ต้องคลาดคลาจากภพไป
บำเพ็ญบุญบริสุทธิ์ใจ
จึงจากไปไร้ทุกขี

กลอนบทจึงจบสิ้น
แต่ไอกลิ่นบ่หายไป
โศกนาฏกรรมที่เกิดไซร้
ระลึกไปอีกยาวนาน

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2550

พัทยา (Pattaya)

ฝุ่นเถ้าของมวนบุหรี่ถูกนิ้วชี้ขวาของเขาเคาะให้ตกลงมาเหมือนสายฝน สายตาของเขามองไปทั่วดินแดนแห่งความแสงสีในยามค่ำคืนจากชั้น 10 ของโรงแรม แววตาที่หนักแน่น จิตใจที่ยากจะหยั่งรู้ มันเป็นกาแรมมวนที่ 5 แล้วที่เขาสูบติดๆกัน

"กูว่ามึงสูบหนักเกินไปแล้วว่ะไอ้ชาติ มึงคิดอะไรของมึงอยู่วะ"
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆตัวของเขา
"กูกำลังคิดว่าคืนนี้เราน่าจะหาอะไรทำ ไหนๆก็มาถึงพัทยาแล้ว"
"มึงยังไม่เลิกอีกเหรอวะ นี่เรามาพักผ่อนสบายๆนะ"
ชาติเอามือตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ
"ไอ้นนท์ บางอย่างที่เป็นเรา จะยังไงซะมันก็ต้องเป็นเรา"
นนท์ยิ้นฝืนๆ นี่เขาจะต้องกลับไปสู่วงจรเช่นนั้นอีกแล้วหรือนี่

พัทยาใต้ในยามค่ำคืนดาษดื่นไปด้วยแสงสีตระกานตา เมืองๆนี้ดูเหมือนไม่เคยหลับไหลมาเป็นเวลานานแสนนาน คนเดินไปทั่วถนนคนเดินในพัทยาใต้ หลายคนเป็นฝรั่งผมทองที่มาเที่ยวช็อปปิ้งหาเนื้อสดในเมืองไทย และอีกหลายคนเป็นคนไทย ที่เป็นพ่อค้าขายเนื้อสด ไม่ก็เป็นเนื้อสดให้ฝรั่งหัวทองลากจูงไป

ชาติ จีรยุทธ์ และนนท์เพื่อนรัก เพื่อนที่เขาเพิ่งจะมารู้จักหลังจากทำภารกิจไปได้ระยะหนึ่ง ทั้งคู่คงเดินต่อไปท่ามกลางฝูงชน พลันชายในแว่นดำก็เดินเข้ามาสะกิดชาติ
"พี่สนใจดูโชว์มั้ย เรามีทั้งโชว์ปิงปอง โชว์เปิดขวด โชว์หั่นแตงกวา โชว์..."
"อ้อ อ้อ ผมรู้แล้วล่ะ รู้แล้ว พาผมขึ้นไปหน่อยสิ"
เงิน 200 บาทถูกวางบนมือของผู้นำทาง ก่อนที่ชายทั้ง 3 จะเดินเข้าไปด้วยกัน

ทางขึ้นของมันช่างมืดสลัว กลิ่นบุหรี่คลุ้งปนไปกลับกลิ่นเหงื่อตลอดทางเดิน สมกับเป็นสถานโลกีย์ชื่อดัง ชาติ และนนท์เดินทางไปถึงบริเวณแสดงโชว์ เบื้องหน้าเป็นเวทีแสดงลีลาของหญิงสาวอย่างเร้าร้อน สายตาของชาย 2 คนจ้องมองไปยังหญิงสาว 2-3 คนบนเวที มุมปากของชาตินั้นยิ้มอย่างมีเลศนัย "เด็กๆผมเป็นไง ถ้าพี่ชอบ จะต่อก็ได้นะ แค่พันเดียวได้ทั้งคืน" เงินอีก 1000 บาทถูกวางลงบนมือคนคนเดิม จากคนคนเดิม

ผ่านไปราว 1 ชม. การแสดงอันแสนอุบาทว์ก็จบลง ตั้งแต่การเปิดขวด หั่นแตงกวา จนกระทั่งการแสดงอันลือลั่นคือการตีปิงปอง หญิงผู้แสดงซึ่งถูกธนบัตรสีขาว ตีตราจองก็ลงมาหาชายเจ้าของเงิน

"นี่เลยพี่ ทีเด็ดของทางเราเลย ราคาเท่านี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะ อีนางนี่ชื่อ แจน"
ชาติไม่มีสีหน้าใดๆ สายตาเหลือบมองรอยแผลที่ไหล่ถัดจากสายเดี่ยวของหญิงสาวไปไม่ถึง 2 คืบ เขาพาแจน ออกไปจากที่นั่น

มือนั่นจับมือหญิงสาวแห่งโลกโลกีย์แน่น พาเดินไปยังโรงแรมจิ้งหรีดที่เขาพักซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจาก ถนนคนเดิน แจนนั่งลงบนเตียง แต่ชาติยังยืนอยู่
"พี่จะทำเลยมั้ย" หญิงสาวถามตามความคุ้นเคย
อาจเป็นเพราะความงงที่ชายผู้ซื้อเธอยังคงยืนนิ่ง

ชาติ จีรยุทธ์ ลากเก้าอี้มานั่งหันหน้าเข้าหาหญิงสาว ปากของเขาเอ่ยคำมาเป็นครั้งแรก
"ไอ้ตึกนั่นมีทางออกลับอยู่ที่ไหน!!"
"นี่พี่เป็นใครกัน"
"อย่าตกใจ ผมไม่ได้มาเที่ยวผู้หญิง หรือมาดูโชว์อุบาทว์นั่น ผมจ่ายเงินให้คุณเพราะต้องการถามคำถาม"
"คุณจะถามอะไร"
"อย่างที่ผมถามไปแล้ว ตึกนั่นมีทางออกฉุกเฉินทางไหนบ้าง"
"จะรู้ไปเพื่ออะไร"
"อาคารนั่นเป็นแหล่งค้าผู้หญิงผิดกฎหมายหนึ่งในหลายๆแห่งของพัทยา ผมต้องการจะจัดการเผามัน ให้เป็นตัวอย่างกับที่อื่นๆ ไม่ให้เอาตามอย่าง ทางออกฉุกเฉินทำให้ผมสามารถบอกตำรวจให้รวบตัวมันตอนหนีได้ ผมรู้ว่าที่นี่ซื้อตัวคุณมา พวกมันทำเลวร้ายกับคุณไว้มาก แผลของคุณคงจะมีทั่วหลัง ผมมาที่นี่เพื่อช่วยคุณกับผู้หญิงทุกๆคน"
หญิงสาวมองดูแผลที่ไหล่ของตนเองแล้วพลันน้ำตาไหล หล่อนคงนึกถึงชีวิตที่ต้องประสบมา
"คุณจะบอกผมได้หรือยัง"
"ได้ค่ะ ฉันจะบอก แต่คุณต้องสัญญากับฉันนะคะว่าห้ามบอกใคร"
"สัญญาครับ"
"ทางออกอยู่หลังตู้หนังสือของผู้จัดการที่ชั้น 3 ค่ะ มันเป็นทางออกฉุกเฉิน แต่ถ้าเปิดประตูออกไปแล้วจะไม่มีบันไดหรืออะไรทั้งสิ้น แต่พวกมันจะกระโดดจากประตูนั้นไปยังอีกตึกนึงซึ่งเป็นร้านอาหารธรรมดา เป็นของพวกมันเช่นกัน"
"ผมถามไม่ผิดคนจริงๆ คุณรู้ได้ยังไง"
"ความจริงฉันเป็นสายให้ตำรวจค่ะ ฉันติดต่อกับตำรวจมานานแล้วกำลังหาหลักฐานอยู่ แต่ถ้าทำตามอย่างคุณมันรวดเร็วดี"
"ขอบคุณครับ" ชาติขอบคุณอย่างนอบน้อม
พลันมือนั้นก็จับโทรศัพท์มือถือ ต่อถึงนนท์เพื่อนรัก
"ไอ้นนท์ ก็ได้ข้อมูลแล้ว อีนังนี่เองที่เปิดเผยข้อมูลของนาย!!"
"นี่มันอะไรกัน!! " แจนตกใจทำอะไรไม่ถูก
"มึงมันอีหน้าโง่ คิดจะหักหลังเจ้านาย เค้าจ้างให้กูมาจัดการมึง"
ประตูห้องเปิด นนท์เพื่อนรักเดินเข้ามา
"มึงจัดการมันเลย" ชาติบอกเพื่อนรัก
นนท์ชักปืนอัตโนมัติใส่ที่เก็บเสียงขึ้นมา
ปืนนั้นจ่อที่หัว
หัวของชาติ
เหงื่อนั้นไหลพราก
"อะไรของมึง ทำไม!!" คำถามชาติที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และความกลัว
"กู ร.ต.อ. มานนท์ เมธาลัย เป็นสายให้ตำรวจ กูมาตามจับมึง ไอ้ขี้ข้าคนเลว"
"แล้วมึงมีหลักฐานอะไร" อดีตเพื่อนรักถามนนท์
"เทปไง"
"เทปอะไร"
"เทปที่มึงพูดกับแจน ไม่ใช่สิ ร.ต.ต. หญิง เจนจิรา ปัญญาวงศ์ ตะหาก"
หญิงสาวลุกขึ้นมา พร้อมดึงเทปที่อัดไว้จากกระเป๋ากางเกงมาให้ดู
"หลังจากกูจับมึงแล้ว กูก็จะสะสางงานอีกซักหน่อย แล้วค่อยจัดการกับเจ้าของตึกนั่น"
"คุณมีอะไรต้องจัดการก่อนหน้านั้นอีก" ตำรวจหญิงถาม
"ก็ฆ่ามึงทั้งคู่ แล้วก็ขู่เอาเงินจากเจ้าของตึก แล้วค่อยเรียกตำรวจจับมัน ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง ฮ่าๆ"
เสียงปืนดังปั้ง ร่างของชาติล้มลง เลือดนองพื้น
ปืนนั่นเปลี่ยนทิศไปจ่อที่หัวของเจนจิรา
"มึงตายซะ"
นนท์ กำลังจะเหนี่ยวไก พลันก็มือปืนอีกกระบอกจ่อที่หัวเขา
"วางปืนลง นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณถูกจับแล้ว"
เจนจิราได้ทีเตะปืนหลุดจากมือของนนท์ ตำรวจผู้ชายที่ตามมาทีหลังเข้ารวบตัว ร.ต.อ.นนท์ ทันที
"นี่ คุณ!!"
"ฉันไม่ไว้คุณมาตั้งแต่ต้นแล้ว ฉันเลยให้ตำรวจนายอื่นๆตามมาดูด้วย"
ร.ต.อ. นนท์ ถูกจับกุม

วันต่อมาเจ้าของตึกนั่นก็ถูกจับ เมืองพัทยาสะอาดขึ้นอีกเล็กน้อย

เจนจิราเดินไปตามทาง พัทยายังคงเป็นแหล่งทำร้ายผู้หญิงที่เธอต้องจัดการชะล้างต่อไป ร่างนั้นเดินไปตามถนนคนเดิน

พัทยาใต้ในยามค่ำคืนดาษดื่นไปด้วยแสงสีตระกานตา เมืองๆนี้ดูเหมือนไม่เคยหลับไหลมาเป็นเวลานานแสนนาน คนเดินไปทั่วถนนคนเดินในพัทยาใต้ เจนหันไปมองที่หน้าตึกตึกหนึ่งในถนนคนเดิน ชาย 2 คนคุยกันอยู่ที่หน้าตึก "พี่สนใจดูโชว์มั้ย เรามีทั้งโชว์ปิงปอง โชว์เปิดขวด โชว์หั่นแตงกวา โชว์..."

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550

แด่ผู้หญิงที่รัก (For Beloved)

มันเป็นเรื่องราวของผมกับผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงที่มีความรักอันบริสุทธิ์ต่อผม
ผู้หญิงซึ่งสั่งสอนผมในทุกๆเรื่อง
สอนจากที่ผมไม่รู้จักโลก
ให้เป็นคนที่ทำอะไรเองเป็น

ผู้หญิงที่มอบความรักทั้งหมดทั้งสิ้นให้แก่ผม
แต่ไม่ได้คาดหวังการตอบแทนใดๆจากผมเลย

ผู้หญิงที่รอจากปลอบโยนเมื่อผมล้มเหลว
และรอจะยิ้มอยู่ข้างหลัง ในวันที่ผมเข้าสู่เส้นชัยแห่งชีวิต

ผุ้หญิงที่มองตาผม
ตั้งแต่วันแรก...
ที่ผมลืมตา

สายตาจับแต่จ้องมองตาลูก
ปวดกระดูกร้าวล้าจนตาแข็ง
ทุบระทมองค์ระทวยเพราะทนแรง
นํ้าสีแดงซ่านกระเซ็นเป็นพยาน

จึงก่อเกิดเด็กน้อยตาดูโลก
เสียงร้องโอด-โอยหาอากาศสาร
มารดาห่วงลูกน้อยเจ็บทรมาน
ลืมร่างตนที่ร้าวรานเมื่อนาที

มือนั้นโอบปากจูบลูกสุดรัก
ลูกรู้จักความอบอุ่น ณ ตอนนี้
นํ้าตานองไหลพรากหลากนที
เพราะสุขศรีที่ลูกตนครบสมบูรณ์

----------

ในแววตามองมาหาเด็กน้อย
เจ้าตัวจ้อยวิ่งปรี่ไปทางนู้น
กล่องดินสอไม้บรรทัดเขียนสูตรคูณ
แม่ใส่พูนในกระเป๋าให้เข้าเรียน

ในวิบากการเรียนการศึกษา
มีมารดาสอนสั่งให้อ่านเขียน
ติวข้อสอบให้ตัวน้อยไม่เคยเปลี่ยน
ให้ท่องตอบสอบเขียนไม่เคยเว้น

ยามเจ็บปวดเจ็บไข้เราได้ยาก
แม่ไม่เคยห่างจากยามทุกข์เข็ญ
หนึ่งผุ้หญิงหนึ่งผ้าผืนชุบนํ้าเย็น
แม่เช็ดให้จนเห็นสะอาดตัว

ยามจะฝึกขับรถเป็นครั้งแรก
แม่ทำแปลกให้เราขับกลางฟ้ารั่ว
ฝนกระเซ็นฟ้ากระซัดเราแสนกลัว
ใจก็เต้นระรัวยากขับไป

แม่ตั้งใจให้กล้าลองเป็นฝึกหัด
เห็นไม่ชัดก็ต้องขับไปให้ได้
มีแม่เองคอยประคองอยู่ข้างกาย
ผ่านวันได้ เราก็จึงขับรถเป็น

วันวานผ่านเราได้งาน, ปริญญา
โอ้มารดาชื่นอก-ใจร่มเย็น
ลูกของแม่เรียนจบแม่ตื่นเต้น
ลูกแม่เป็นผู้ตรวจสอบฯแม่สุขใจ

---

ณ วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ
สมควรเป็นวันประกาศคุณค่าใหญ่
ยํ้ายืนยันจะรักแม่ตลอดไป
เหมือนที่แม่อยู่ในใจตลอดมา

อยากบอกแม่จงเพลาการเหน็ดเหนื่อย
กลัวปวดเมื่อยทรมานร่างอ่อนล้า
เมื่อการงานพาแม่เจอคนนานา
ขอแม่อย่าเอาปัญหามาเป็นทุกข์ใจ

นอกจากนี้แม่ต้องรักสุขภาพ
ให้ชีวิตเรียบราบเป็นสุกใส
บำรุงกายพร้อมรักษาบำรุงใจ
บริสุทธิ์สุขสบายไร้กังวล

ณ วันนี้เป็นวันฉันยืนได้
มีเงินทองพอไหวไม่ขัดสน
สาบานว่าวันหนึ่งเลี้ยงมารดาตน
ให้แสนสมแม่เลี้ยงฉันอย่างภาคภูมิ

ผู้หญิงคนนั้นคือ "คุณแม่" ของผมครับ
ผู้หญิงที่คืนนี้ผมจะกราบเท้าท่าน
หลังจากที่ท่านอ่านกลอนใน Blog นี้จบ
แล้วผมจะบอกท่านว่า
รักท่านมากๆครับ

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2550

คุณค่าแห่งร่มไม้ (Great Flora's Virtue)

เนื่องในวันแม่ ผมได้มีโอกาสกลับไปดูบทกลอนเก่าๆที่เคยเขียนให้กับท่าน
หลังจากค้นหาโดยใช้เวลาสักพัก ก็พบกับบทกลอนกาพย์ยานี ๑๑ ซึ่งชอบแต่งมากตอนเด็กๆ เพราะแต่ได้ง่าย และจดจำได้ง่าย

ตอนนั้นให้โจทย์กับตัวเองว่า จะแต่งกลอนถึงพระคุณแม่ได้อย่างไร โดยไม่ใช้คำว่า "แม่" เลยในบทกลอน (มาใช้อีกทีตอนวรรคส่ง วรรคสุดท้าย)

บทกลอนนี้สั้น และไร้ชื่อ
ผมจึงตั้งชื่อให้มัน ว่า"คุณค่าแห่งร่มไม้"


รักคุณแม่เสมอครับ

ผลน้อยเกาะก้านต้น
สถิตบนกิ่งโพธิ์ใหญ่
ไม้เลี้ยงผลก้านใบ
ให้เติบใหญ่เป็นต้นดี

ไม้หยั่งรากลงดิน
สูบแหวกหินช้านานปี
เพื่อหาอาหารดี
มาเลี้ยงผลให้วิไล

ผลเพียงสถิตนิ่ง
ไม้แผ่กิ่งให้อาศัย
ไม่ให้แดดแทงไช
ไม่ให้ลมซัดทำลาย

เมื่อถึงวันเวลา
ผลอยู่มาต้องจากไป
ลงดินบนถิ่นใด
เป็นต้นได้ระลึกมั่น

คุณร่มต้นไม้ใหญ่
ให้ลูกได้ทุกสิ่งสรรพ์
แต่เกิดจนตั้งยัน
พระคุณแม่ช่างงดงาม

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2550

กล้วยไม้ไร้ดิน (The Soilless Orchid)

ณ ที่นี้เป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งบนถนนสายหลักแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ พนักงานเงินเสิร์ฟทำงานอย่างหนักเพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาในเย็นวันอาทิตย์อย่างเนืองแน่น

“ขอข้าวเพิ่มอีกจานนึงสิ” เสียงของหญิงชราคนหนึ่งกล่าวต่อพนักงานเสิร์ฟ
“อะไรเนี่ย!!” เสียงตะหวาดจากชายวัยกลางคนที่นั่งข้างๆเธอดังขึ้น “ไม่ต้องๆ พอแล้วเก็บเงินเลย”
เด็กสาวตัวน้อยตาบ้องแบ้วมองชายคนนั้น และหญิงชราอย่างมึนงง “พ่อว่าย่าทำไม?”
มือข้างๆเด็กน้อยแตะมาบนไหล่ของเธอ เป็นมือของผู้หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง “เรื่องของผู้ใหญ่น่ะลูก เรายังเด็ก อย่าไปสนใจอะไรเลย”
เด็กน้อยเงียบ
หญิงชราเงียบ
ชายวัยกลางคนจ่ายเงิน
พ่อแม่ลูก และย่าชรา เดินออกจากร้านนั้นไป

ณ บ้านหลังน้อยในกลางทุ่งนา
ผู้คนมากมาย
ชาวบ้านมากมาย
ทุกคนต่างรายล้อมหญิงชาวนาที่กำลังจะคลอดลูกออกมา
หญิงวัยกลางคนกรีดร้องจนสุดชีวิต
นํ้าตาไหลพรากนองหน้าของหล่อน กรามนั่นขบกันแน่น
เหงื่อไหลท่วมตัว แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับเลือดที่นองพื้นบ้านไม้หลังนั้น
“เด็กคลอดแล้ว!!” เสียงชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาด้วยความยินดี ชาวบ้านที่เหลือพากันเฮลั่น
หมอตำแยตัดสายรก แล้วเช็ดตัวให้ทารกน้อย
หมอชรามอบทารกน้อยสู่อ้อมกอดของผู้ให้กำเนิด
มือนั่นกอดลูกของตน นํ้าตาไหลพรากยิ่งกว่าเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่นํ้าตาแห่งความเจ็บปวด แต่เป็นนํ้าตาแห่งความปลื้มปิติ ริมฝีปากของหล่อนจรดลงบนหน้าผากของลูก
เด็กชายที่ ณ ตอนนี้ เป็นประหนึ่งดวงใจของเธอ

“ผมไม่รู้จะทำยังไงดี แม่แก่แล้วไม่ฟังอะไรเลย แล้วดูสิ ร้านอาหารคนเยอะแยะ มาสั่งข้าวเปล่าเพิ่ม กับข้าวก็ไม่เหลือแล้ว หิวก็บอกกันก่อน อย่างงี้คนเค้าก็มองกันสิว่าเรามันยากจนนักหนา ชอบทำตัวแบบนี้อยู่เรื่อยเลย”
“โธ่คุณคะ ไม่เอาน่า แม่คุณอาจจะอยู่บ้านนอกมานาน เลยพูดอะไรแบบนั้น คุณคิดดูสิ อยู่บ้านนอกมาทั้งชีวิต เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในเมือง แถมแก่แล้ว ไม้แก่ดัดยาก”
ผู้เป็นภรรยาปลอบใจสามีที่เริ่มประโยคสนทนาดังกล่าว
ชายวัยกลางคนนั่งเงียบนิ่งอยู่สักพัก
พลันเขาก็ถอนหายใจ และกล่าวว่า
“ผมจะเอาแม่เข้าบ้านพักคนชรา”
“คุณแน่ใจเหรอคะ”
“แน่ใจสิ มันเป็นที่ที่คนแก่ๆน่าจะมีความสุขได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปติดต่อที่นั่น”

เธออุ้มลูกของเธออย่างอบอุ่น
ทารกน้อยดูดนมของแม่
“เออ นี่ ยายแม้น เอ็งจะตั้งชื่อลูกเอ็งว่าอะไร” ยายของทารก ถามลูกของตน
“ชื่อ กานต์ จ้ะแม่ กานต์แปลว่า “เป็นที่รัก” ฉันว่าชื่อนี้ความหมายดี แถมยังเพราะ เวลาโตขึ้นไปลูกจะได้ไม่ต้องอายใครเค้า ต่อไปอาจจะต้องเข้าเมืองกรุงจะได้ยืดได้” ทองแม้น ตอบแม่ของหล่อน พร้อมกับอมยิ้ม
ฟังดูอาจมองว่าเป็นมุกน่ารักๆของหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง
แต่สำหรับทองแม้น
เธอคิดเช่นนี้จริงๆ
ลูกของเธอจะต้องเติบโต อย่างไม่อายใคร

“คุณกานต์แน่ใจกับเรื่องนี้แล้วเหรอครับ”
ผู้อำนวยการบ้านพักคนชราถามชายวัยกลางคน
“แน่นอนครับ ผมว่าแม่น่าจะมีความสุขกับที่นี่”
“อย่างนั้นผมขอให้คุณเซ็นใบรับรองให้คุณแม่ของคุณอยู่ที่นี่นะครับ นี่ครับเอกสาร”
กานต์ จรดปากกาเซ็นชื่อของตัวเองลงไป
เขายอมรับให้บ้านพักคนชราดูแลแม่ของเขา
เขาคิดว่ามันเป็นความคิดที่ถูกต้อง
แม่แก่เกินไปแล้วกับสังคมยุคปัจจุบัน

กานต์ขับรถกลับบ้าน
ภรรยาสุดที่รักกับลูกรอเขาอยู่ในบ้านแล้ว
แม่ของเขาก็เช่นกัน

กานต์นั่งบนโต้ะอาหารพร้อมกับครอบครัว
แม่ของเขาก้มหยิบกระโถนเพื่อบ้วนนํ้าหมากสีแดง
“นี่อะไรกันแม่ !! ผมบอกกี่ทีแล้วให้แม่เลิกกินไอ้หมากนี่”
ลูกของทองแม้นตะโกนลั่น
“โธ่ลูก แม่แก่แล้ว แม่เลิกไม่ได้หรอก ลูกต้องเข้าใจ…”
“ไม่ต้องแล้ว พอกันที!! ดีนะที่ผมติดต่อบ้านพักคนชราไว้แล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายของแม่ที่นี่”
กานต์ตะคอกอีกที
ทองแม้นนิ่งค้าง
สายตาแสดงความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกชายคนเดียวของเธอพูดเช่นนั้น
ปากไม่แสดงอาการใดๆ
ตัวก็นิ่ง
เธอไม่มีอะไรที่จะต้องพูดหรือแสดงออก

เด็กน้อยเข้าโรงเรียนแล้ว
แม่แม้นมาส่งลูกของหล่อนที่โรงเรียนทุกวัน
ชาวบ้านบอกว่าเธอรักลูกของเธอมากเกินกว่าใครๆ
บ้างว่าเธอบ้าเห่อลูกที่เกิดมานานเกินไปหน่อย
จะอะไรก็ช่างเถอะ
แม้นดีใจที่มีชีวิตเช่นนี้

วันหนึ่งกานต์ลูกน้อยวิ่งร้องไห้เข้ามากอดแม่
“กานต์เป็นอะไรเหรอลูก” แม่ของเด็กน้อยถาม
“เพื่อนเค้าล้อหนูว่าไม่มีพ่อ หือหือ เค้าว่าต่อไปกานต์จะแย่ จะเป็นเด็กมีปัญหา” กานต์ร้องไห้ด้วยความชํ้าใจ

พ่อของกานต์เป็นทหารหาญที่ต้องออกไปรบที่ชายแดนก่อนกานต์เกิด 2 เดือน
แล้วไม่กลับมาอีกเลย
วันที่แม้นทราบข่าวสามีของหล่อน
หล่อนแทบทนไม่ได้
แต่หล่อนไม่ร้องไห้ออกมา
ทองแม้นกลัวว่าลูกในท้องของเธอจะรับรู้ถึงความโศกเศร้าไปด้วย
หล่อนพยายามไม่คิดถึงเขา ทั้งๆที่รักเขามาก
ลูกจะต้องไม่รู้สึกสูญเสียใดใด

มือนั่นลูบหัวเด็กน้อย
“กานต์มองดูต้นกล้วยไม้นั่นสิลูก” นิ้วชี้ขวาของแม่ชี้ไปที่ต้นกล้วยไม้นั้น
“ลูกว่ามันเป็นยังไง?”
“มันสวยจังเลยจ้ะแม่”
“อืม แล้วลูกรู้อะไรมั้ย ว่าตอนเด็กๆต้นไม้ต้นนี้เคยถูกเพื่อนๆต้นไม้ต้นอื่นๆล้อว่าอะไร”
“มันเคยถูกล้อด้วยเหรอจ้ะแม่ ล้อว่าอะไร หนูเดาไม่ถูกหรอก”
มือนั่นตบลงบนหัวเด็กน้อยเบาๆ
“มันเคยถูกล้อว่า ต้นไม่อะไรไม่มีดินจะอยู่ ไม่เหมือนต้นอื่นๆ อย่างงี้จะโตมาได้ดีได้อย่างไร”
“แต่มันก็สวยกว่าต้นอื่นนี่จ้ะแม่”
“ก็เพราะมันเป็นต้นไม้ที่ดี มันได้นํ้าที่ดี มันได้แสงที่ดี มันก็เลยมีดอกที่สวยงามไงจ้ะ”
ทองแม้คุกเข่าลงต่อหน้าเด็กชาย
แล้วร่างของแม่ก็โอบกอดลูกน้อย
"“นี่แหละจ้ะ มันไม่ได้สำคัญหรอกว่าลูกจะมีอะไรที่ครบหรือขาดจากคนอื่นๆ สิ่งสำคัญคือสิ่งที่ลูกมีนั้นดีพอที่จะทำให้ลูกเติบโตมาได้ดีรึเปล่า กานต์ยังมีแม่นะ แม่จะดูแลกานต์ให้ดีที่สุดเองจ้ะ"

เด็กน้อยสบายใจแล้ว
อย่างน้อยเขาก็มีแม่
แม่ที่เป็นทั้งพ่อและแม่

กานต์วิ่งกลับไปเล่นกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง

แม้นมองดูลูกของเธออยู่ห่างๆ
ต่อหน้าลูกเธอไม่เคยมีนํ้าตา
เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุข
เธอต้องทำได้
นํ้าตานั้นซึมตรงขอบตา
นํ้าตาที่ลูกของเธอไม่มีวันได้เห็น

ไม่มีวันเห็นนํ้าตาของเธอ
แม้นแอบร้องไห้อยู่ในห้องนอนเล็กๆชั้นล่างของบ้าน
เธอกำลังจะต้องถูกส่งไปบ้านพักคนชรา
เธอไม่ได้น้อยใจโชคชะตา
เธอเข้าใจดีถึงความโชคร้าย และโลกที่ขมขื่นในวันที่สามีของเธอตาย
เธอแค่ไม่เข้าใจ
ว่าทำไมกานต์ถึงทำอย่างนั้น

เช้าแล้ว
เช้านี้แม้นไม่ได้ตื่นนอนด้วยตัวเอง
เธอตื่นเพราะเสียงเคาะประตูห้องของเธอ
“แม่ เก็บของรึยัง แม่ต้องไปแล้ว!!”
นํ้าตาจะไหลพรากอีกครั้ง
แต่แม้นกลั้นมันไว้

หญิงชราเก็บของใส่กระเป๋าใบเล็กๆของหล่อน
กระเป๋าที่ใบเดิม
ใบเดียวกับวันที่เธอเข้ากรุงเทพฯครั้งแรก

“อะไรกัน ยายแม้น เอ็งจะเข้ากรุงเทพฯเหรอ!!”
ผู้ใหญ่บ้านถามหญิงชาวนาด้วยความตกใจ
“ใช่จ้ะพ่อผู้ใหญ่ ฉันไม่เหลืออะไรที่นี่แล้ว สามีก็ตายแล้ว พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว เจ้ากานต์เองก็มีงานมีการทำในเมืองกรุง เขาว่าเขาดูแลฉันได้”
“แต่แม้นเอ้ย เอ็งก็รู้ว่าในเมืองหลวงน่ะมันอันตราย ผู้คนหัวใจคับแคบ ระวังจะถูกปล้น ถูกโกงเอาล่ะ”
ผู้ใหญ่กล่าวด้วยความเป็นห่วง
“โธ่ พ่อผู้ใหญ่ ฉันไปหาเจ้ากานต์ลูกฉัน ถ้าฉันจะตกอับได้ก็เพราะเจ้ากานต์เท่านั้นเองล่ะจ้ะ แล้วพ่อผุ้ใหญ่คิดดู เจ้ากานต์มันเป็นลูกที่ดีจะตายไป มันจะมาเบียดเบียนอะไรฉันล่ะ”
“อือ ก็จริง เอ็งดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ แล้วนี่จะเดินทางเมื่อไหร่?”
“เย็นนี้ล่ะจ้ะพ่อผู้ใหญ่ นัดเจ้ากานต์ไว้แล้ว จะได้ถึงเร็วๆ ฉันลาล่ะจ้ะ

แม้นเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตโดยรถไฟชั้น 3 เพื่อไปหาลูกของเธอ

แม้นเดินทางอีกครั้งโดยรถเก็งคันสวย เพื่อไปจากลูกของเธอ
รถที่ขับโดยลูกของเธอ
นึกถึงคำพูดที่เคยพูดกับพ่อผู้ใหญ่ที่ว่า “ฉันจะตกอับได้ก็เพราะเจ้ากานต์เท่านั้นเองล่ะจ้ะ”
วันนั้นเธอมั่นใจว่าเธอจะไม่ตกอับ
แต่วันนี้เธอไม่มั่นใจ

ความจริงแล้วในใจแม้นก็พยายามจะคิดว่าลูกชายของหล่อนมีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้ แต่หล่อนก็ไม่สามารถหาคำตอบสำหรับคำถามนั้นได้เลยว่าเพราะอะไร
ใจหนึ่งก็พยายามจะเชื่อว่าเธอคือตัวปัญหา
อีกใจหนึ่งก็เศร้าใจ

ร่างนั้นเหม่อลอยอยู่ในรถของลูกชาย ที่ ณ วันนี้เป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน
“แม่เป็นอะไร จะไม่พูดไม่จาหน่อยเหรอ”
แม้นเงียบ ไม่มีคำตอบสำหรับประโยคนั้น
“ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด เดี๋ยวแม่ก็จะได้เจอเพื่อนมากมาย แม่จะได้มีความสุขซะที”
รถนั่นส่งถึงหน้าบ้านพักคนชรา
พยาบาลสาวมารอรับแม่ผู้ชรา

พยาบาลเดินพยุงแม้นเข้าไป
เธอห่างจากลูกชายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเข้าไปในอาคาร
เธออาจจะไม่มีวันได้เห็นหน้าของกานต์อีก
นํ้าตาไหลซึมอีกครั้ง

“คุณกานต์รอซักพักนะคะ เดี๋ยวฝ่ายการเงินจะออกบิลล์ให้ สำหรับค่าใช้จ่ายเดือนแรก และค่ามัดจำอีก 2 เดือน”
“อ๋อครับ ตกลงครับ อย่างงั้นผมขอออกไปเดินเล่นดูสวนของบ้านพักที่นี่หน่อยละกัน กลับมาก็คงพอดีกับบิลล์”
พนักงานสาวตอบรับคำ
กานต์เดินออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมนั่น

เบื้องหน้าของเขาเป็นสวยที่ดูสบายตา คนแก่ๆคงจะชอบสวนแบบนี้ ใครจะดูแลคนแก่ๆได้ดีเท่าหน่วยงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อดูแลพวกเขาโดยเฉพาะ

พลันก็เหลือบไปเห็นต้นกล้วยไม้ที่วางเรียงรายอยู่ริมสวน
คนสวนของบ้านพักคนชรากำลังรดนํ้ากล้วยไม้อย่างเอ็นดูทนุถนอม
“กล้วยไม้นี่ปลูกมานานรึยังครับ ดอกถึงได้สวยอย่างนี้”
“อ๋อครับ ปลูกมาหลายเดือนแล้วครับ ต้องหมั่นรดนํ้าทุกวัน กล้วยไม้นี่โตยากนะครับ มันไม่ได้รับแร่ธาตุจากดิน เราต้องประคบประหงมมันนาน กว่าที่มันออกดอกมาได้ขนาดนี้ เรียกว่าถ้าไม่รดนํ้าวันสองวันนี่ตายได้เลยนะคุณ”
กานต์นิ่ง อึ้ง และเหม่อลอย
“อ้าว คุณ เป็นอะไรไปครับ???” คนสวนถามด้วยความประหลาดใจ
กานต์ยังคงนิ่ง เหมือนคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น เขาก็ตบไหล่ของคนสวน
“น้อง พี่ขอบคุณมาก น้องทำให้พี่ระลึกถึงความทรงจำดีๆสมัยเด็กๆ ทำให้พี่รู้ตัวว่าพี่กำลังจะเผลอทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต”
กานต์วิ่งกลับเข้าไป ที่เคาน์เตอร์ ที่กำลังออกบิลล์ให้เขา
“อะไรเหรอคะ บิลล์ยังไม่เสร็จเลยค่ะ”
“ไม่ต้องแล้วครับ ผมยกเลิก เดี๋ยวผมจะชดเชยเงินมัดจำให้ คุณช่วยบอกพยาบาลให้พาแม่ของผมออกมาหน่อย ผมจะพาท่านกลับบ้าน”
พนักงานสาวงง แต่ก็ปฏิบัติตาม

พยาบาลพาทองแม้นออกมา ณ ที่เดิมที่รถส่งหล่อนลงมา
รถคันเดิมวิ่งมาหยุดที่ข้างหน้า
ชายคนเดิมลงมาจากรถ ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป

หญิงชาวนาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงแล้ว
เบื้องหน้าบันไดรถไฟมีลูกชายของเธอยืนอยู่
เขาวิ่งเข้ามากอดแม่ของเขาด้วยความรัก
กานต์จะพาแม่ของเขาไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่


เขาก้าวลงมาจากรถเก๋งคันนั้น
วิ่งโผลเข้ามากอดแม่ของเขา
เข่าคู่นั่นทรุดลง
เขาก้มลงกราบเท้าของผู้เป็นมารดา
ไม่มีคำพูดใดๆ
กานต์จะพาแม่ของเขากลับไปที่บ้านหลังเดิม

นิทานกระจอกน้อย (The Bird's Tale)

update อีกแล้วครับ...คราวนี้เป็นกลอนที่บอกเล่าเรื่องราวอันสู้ทนของนกกระจอกน้อยครับ เรื่องราวที่น่าปวดร้าว แต่กลับแฝงไปด้วยพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่....ใน "นิทานกระจอกน้อย" (The Bird's Tale)

P.S. เรื่องนี้เป็นกลอนแนวทดลองนะครับ คือตอนแรกอ่านตรงตัวอักษรสีเขียวกับสีดำ แล้วอาจจะยัง งงๆ ไม่อินกลับกลอน กลอนจะคลายความหมายตอนอ่านสีนําเงิน เป็นลักษณะการตัดช่วงเวลา เอาตอนท้ายมาวางก่อนตอนแรก ถ้าจะให้ซาบซึ้งพออ่านจบแล้ว ขอให้กลับไปอ่านตอนต้นใหม่ครับ :D

กระจอกน้อยโผผินเจ้าบินอยู่
มิบ่งรู้ว่าทำฉันใดหนอ
ปีกสะบัดผลัดกระพือมิรั้งรอ
กระดกคอตั้งมั่นทำอะไร


ฝ่าลมฝนฟ้าพิโรธที่โบกเข้า
ไม่ทำเจ้าท้อแท้สุดไฉน
อะไรฝังให้เจ้าแกร่งทั้งดวงใจ
ปีกก็กล้าบินสู้ไปในท้องฟ้า

โฉบปีกบินผินหาพฤกษาใหญ่
เมื่อพบเจอก็เข้าไปตรงกิ่งหนา
ผิวมันลื่นก็ฝืนเกาะกดบาทา
ตัวก็ล้าแต่ยังสู้จะหยัดยืน

ปากจิกปากตีนก้าวไปบนกิ่ง
ก้าวถึงขอบตัวก็นิ่งสุดจะฝืน
เล็บตีนจิกกัดลึกเพื่อตัวยืน
สุดกลํ้ากลืนนกน้อยช่างเหนื่อยล้า

คอชะเงยเห็นหนอนน้อยก็จกกัด
จะงอยปากกดรัดเจ้าหนอนหนา
ท้องก็สั่นหิวโซปวดอุรา
แต่เจ้ากลับไม่กล้ากินในที

กระจอกน้อยคาบหนอนไว้ตรงปาก
ปีกบินจากต้นไม้ใหญ่อย่างเร็วรี่
ตาแข็งตึงถลึงหาทางโน้นนี้
ปีกบินถี่เพื่อจะกลับคืนถิ่นฐาน

นกน้อยฝ่าลมพญามัจจุราช
ฟ้าพิฆาตนกน้อยใหญ่หลายสถาน
ปีกเริ่มช้ากลางนภายมบาล
เนื้อหนังกร้านเริ่มล้าจะหมดแรง

พลันตาเจ้ากลับนิ่งและแข็งทื่อ
ยากจะรู้พลังใดที่ใส่แฝง
เหมือนกับมีพลังเร้นเค้นสำแดง
ปีกสะบัดสู้แข่งกับนภา

ถึงต้นไม้เหี่ยวระแหนอยู่ต้นหนึ่ง
เจ้าก็บึ่งรี่ไปตรงกิ่งสา
เป็นรังน้อยที่เจ้าสร้างนานเวลา
ปากคาบหนอนอย่างผู้กล้าบินตรงไป

ณ ที่นั้นเป็นรังกระจอกน้อย
ปีกละห้อยตีนเกาะร้านบ้านเจ้าไซร้
พลันดวงตาเจ้าก็มองคล้อยลงไป
ก็เห็นได้ซึ่งลูกนกอยู่ในบ้าน

เสียงเจื้อยแจ้วลูกน้อยทั้งสามตัว
ร้องระรัวบ่งว่าหิวหาอาหาร
เจ้าก็ทิ้งหนอนน้อยให้ลูกทาน
ลูกสำราญเจ้าก็ยิ้มกริ่มยินดี

(เป็นเรื่องราวของชีวิตนกตัวน้อย
แต่เดิมคอยดูแลเลี้ยงลูกนี้
ผลัดเพียงวันต้นผลัดใบไร้อารีย์
จากเดิมที่เขียวขจีก็พลันหาย

ต้นมันแล้งยากจะหาอาหาร
ลูกก็ร่างเล็กน้อยยากเคลื่อนย้าย
แต่เด็กเอ๋ยหิวอาหารชีพจะวาย
ลมฟ้าก็โหมไซร้ไร้ใยดี

โอ้ว่านกตัวแม่หาทางออก
มองเมฆหมอกฟ้าฝนที่พ่นใส่
หากออกไปชีวิตอาจวอดวาย
แต่พอมองกลับไปในรังเจ้า

ก็เห็นลูกร้องโอยโหยอาหาร
จะสถานใดเล่าเจ้าจะขลาด
ตาเขม็งจิตคะนองอย่างองอาจ
รักษาชาติลูกน้อยให้อยู่คง

ปีกกระพือส่งเจ้าไปสู้ฟ้า
กระบังหน้าต้องสู้กับสายลม
แต่จิตใจยืนหยัดไม่ปลดปลง
สุดชื่นชมคุณค่ารักแห่งมารดา)



วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

แดนเปลือย (The Naked Land) ภาค 2

เต็นท์หลังใหญ่นั้นถูกปักสมอบกให้ตั้งนิ่งอยู่ ณ กลางป่า สก๊อตต์ต้องเป็นยามรักษาการในคืนแรกนี้ หลังจากที่เขาบริการอาหารที่เขาเองเป็นคนจัดเตรียมมาให้แก่ทุกๆคน ที่จริงเขาเหนื่อยเหลือเกินที่จะรับงานนี้ แต่การจับไม้สั้นไม้ยาวที่ศาสตราจารย์ให้เสี่ยง ก็ยุติธรรมดี สก๊อตต์รู้ ทุกคนต่างก็เหนื่อยเหมือนๆกัน

ลมโบกพัดโชยความเย็นยะเยือกแห่งยาวค่ำคืน นัยน์ตานั้นมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงได้อย่างชัดเจน คืนที่สว่างแต่ทางออกยังคงมืดมน สก๊อตต์ยังคงยืนเฝ้ายามต่อไป ไม่รู้ว่าคืนนี้จะยาวนานอีกซักเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็สบายใจ อุปกรณ์ที่โรเบิร์ตติดตั้งไว้จะเตือนให้เขารู้ถ้ามีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้รับเชิญหลุดเข้ามาได้ ความสบายใจนั้นเกิดขึ้นโดยที่สกอตต์ไม่ได้รู้เลยว่าเบื้องหลังโพรงหญ้าห่างออกไปไม่ไกลนั้นมีนัยน์ตาสีฟ้าเข้มทะมึนคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา เหมือนเตรียมตัวจะทำอะไรบางอย่าง

เบื้องหน้าของเขาคือสีไฟหลากหลายสลับสับเปลี่ยนกันไปทั่ว มันคล้ายมโนภาพที่เขาเคยเห็น อสุรกายพวกนั้นปรากฎกายขึ้นมาแล้วหาไปกับพวกนักสำรวจที่มากับเขา พลันปรากฎใบหน้าของ ศ.ดร.นิตย์ เดชธำรง ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาหาเขาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนหยุดนิ่งเมื่อเคลื่อนมาแทบจะถึงใบหน้าของเขา ปากบนใบหน้านั้นขยับ "ยินดีต้อนรับนะ นนท์ นาคะเกียรติ" เหมือนเช่นเคย นนท์พยายามจะตอบใบหน้านั้น แต่มันก็พลันหาไป มโนภาพกลายเป็นสีดำมืดในฉับพลัน
นนท์สะดุ้งตื่น เขาเห็นภาพนั้นอีกแล้ว ใบหน้าของท่านศาสตราจารย์ เขากำลังอยู่ที่ไหน กำลังจะเจออะไร เขาตอบไม่ได้ เขาไม่อยากรู้ เขาสับสน เหงื่อท่วมโทรมกาย พลันเกิดเสียงตะโกนที่ไม่คาดฝัน
"เสือ!!!! ช่วยด้วยๆ" สก๊อตต์ยังส่งเสียงขอความช่วยเหลือเหมือนเดิมอีกหลายครั้ง จนเสียงนั้นเงียบหายไป นนท์ นาคะเกียรติ์ ตื่นเต้น ตกใจมาก เขาเปิดกระโจมเต็นท์นั้นออก ขณะที่คนอื่นเพิ่งจะสะดุ้งลุกขึ้น ทุกคนดูต่างจะเหนื่อยเพลียเกินกว่าจะสามารถรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ สายตาของนนท์ สาดส่องไปทั่ว แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทำให้เขาเห็นมันได้อย่างเต็มที่ ร่างกายของเขาแข็งเกร็ง มันเป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เสือโคร่งตัวใหญ่ตัวนั้นยืนจ้องชายหนุ่มนักโบราณคดีจากอังกฤษ สก๊อตต์นิ่ง ร่างกายของเขาแข็งเกร็งยิ่งกว่านนท์มาก แววตานั้นหากเพ่งมองดูลึกๆแล้วมันซ่อนความหวาดกลัวต่อภัยเบื้องหน้าอยู่ แต่เจ้าของแววตานั้นไม่ขยับร่างกายส่วนใดเลย สก๊อตต์รู้ว่าเขาไม่ควรเลือกที่จะหนี ความนิ่งอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่การหนีคือการวิ่งเข้าหาความตาย เสือโคร่งตัวหนักขนาดไม่น่าต่ำกว่า 200 กิโลกรัมนี้ หากวิ่งตามมาตะปบเขา คือความตายทันที
นนท์รู้ว่าจะต้องทำอะไรซักอย่าง แต่ความคิดของเขาไม่สามารถนำมาซึ่งคำตอบนั้นได้เลยในภาวะคับขันขนาดนั้น แต่มุมโต้ เขาแสดงสิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิด เขาย่องออกมานอกเต็นท์ในขณะที่คนอื่นๆยังคงเฝ้ามองเหตุการณ์นี้จากในเต็นท์นั่น มือขวาของชายตัวใหญ่ร่างดำกำไฟแชคอยู่ มือซ้ายกำไต้จุดไฟซึ่งเตรียมไว้เพื่อใช้นำทางยามค่ำคืน จุดไฟที่ไต้แล้วยกมันขึ้น ในมือซ้ายของเขาตอนนี้เหมือนประหนึ่งกำคบเพลิงอันร้อนระอุ เสือร้ายมองมาทางเขา มุมโต้ชี้ไต้ไฟไปยังมัน แต่ไม่เหมือนเสือร้ายทั่วไปที่มักจะกลัวไฟ มันไม่แสดงอาการกลัวต่อสิ่งที่มุมโต้ทำเลย นนท์ เกรียงไกร และ โรเบิร์ต ตามออกจากเต็นท์นั้น ทุกคนนำไต้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดมาจุดต่อจากมุมโต้ ทั้งสี่คนกำไฟกองใหญ่นั้นไว้ เสือร้ายไม่แสดงอาการกลัว มันละสายตาจากสก๊อตต์มายังพวกเขา แววตาของมันแสดงถึงความไม่เป็นมิตร มันมองมายังทั้ง 4 คนที่ไม่แสดงอาการกลัวต่อมันเหมือนกัน มันตะปบตีนหลัง และวิ่งเข้ามาหา นนท์ และพรรคพวกด้วยความเร็ว มันกำลังจะทำอะไร! มันไม่กลัวไฟ! มันกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อยัดเยียดความตายให้กับพวกเขา!?!
ทันใดนั้น เสียงประหลาดก็ดังขึ้นมา มันเป็นภาษาที่แปลกมาก แต่ที่น่าแปลกมากกว่านั้นคือเป็นเสียงของเด็ก!!! เสือร้ายหยุดลงอย่างแน่นิ่ง ทุกคนตะลึงกับเสียงที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เด็กคนนั้นคือใคร ปริศนาเฉลยภายในเสี้ยววินาทีพร้อมกับความประหลาดยิ่งกว่าอีกอย่างหนึ่ง เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้ชาย เดินออกมาจากแมกไม้รก ที่น่าประหลาดคือ เด็กคนนั้นเปลือยเปล่า เด็กชายเปลือยเดินมาหาเสือโคร่งอย่างใจเย็น มือเล็กๆนั่นลูบหัวสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดชนิดหนึ่งในโลก ให้หยุดนิ่งประหนึ่งสุนัขที่ได้รับการฝึกมา ทุกคนต่างตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลันเกิดเสียงจากคนต่างวัย เสียงหนึ่งดังขึ้น
"อาจจะเป็นการต้อนรับที่น่าตื่นเต้นไปหน่อยนะ แต่ก็ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ ผมรู้อยู่แล้วว่าซักวันหนึ่งคุณต้องมา"
นนท์ รู้สึกสะดุ้งกับเสียงๆนั้น มันเป็นเสียงที่ไม่น่าเชื่อ ชายเจ้าของเสียงนั่นเดินออกมาจากหมู่แมกไม้ ตัวของเขาเตี้ยกว่า ดร.นนท์ หนวดเครารุงรัง และหนามาก ที่สำคัญคือ ชายผู้นั้นเปลือยเช่นกัน นนท์ขยับแว่นกรอบหนาของเขาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
"ทะทะทะท่านศาสตราจารย์ ท่านใช่ไหมครับ" นนท์ นาคะเกียรติ์เอ่ยปากถาม เขามาเพื่อค้นหาการสูญหายของเสียงๆนี้ แต่ไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสได้ยินเสียงๆนี้ เบื้องหน้าของเขาภายใต้หนวดเครารุงรังนั้น คือ ศ.ดร.นิตย์ เดชธำรง นักโบราณคดีผู้ยิ่งใหญ่ของไทยและของโลก ในจิตใจของ ดร.นนท์ สับสนปนเปกันไปหมด นี่มันอะไร ทำไมท่านจึงยังอยู่ที่นี่ ท่านควรจะตายไปเมื่อสามปีที่แล้ว ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับท่าน แล้วทำไมท่านจึงเปลือยเปล่า!! ศาสตราจารย์ใหญ่เหมือนจะหยั่งรู้ในสิ่งที่เขาคิด ท่านเดินเข้ามาหาเขา
"คืนนี้ขอเชิญคุณ พักกับพวกเราก่อน แล้วทุกอย่างก็จะเคลียร์" พวกของท่าน!!! ดร.นิตย์ หันไปมองคนอื่นๆ แล้วตะโกนเป็นภาษาของเผ่าท้องถิ่น พลันมนุษย์อีก 5 คน ซึ่งเขาเห็นพวกนั้นไม่ถนัด แต่แน่นอน ทุกคนเปลือย คนเหล่านั้นเดินออกมาจากแมกไม้รับบริเวณนั้น มือกำผ้าคนละผืน พวกนั้นปิดตาทีมสำรวจทุกคน พวกมันจะพาพวกเขาไปไหน เขาไม่รู้ว่า ความน่ากลัว ความน่าสะพรึงกลัวอันใดจะเกิดขึ้นตามมาอีก แต่นั่นยังดีกว่าการที่จะตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งตัวนั้น นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายของ นนท์ นาคะเกียรติ์ ณ วันนั้น

แสงตะวันสาดส่องเหมือนหนึ่งแทงเข้าในขอบหนังตาของเขา นัยน์ตานั้นเริ่มปริสว่างขึ้น และลุกวาว นนท์ นาคะเกียรติ์ ตื่นขึ้นมา เขาไม่ได้มีความฝันสำหรับการหลับที่ผ่านไป เหลือบตามองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขา มันหายไป!! พลันจะล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อจะเอาของใช้บางอย่าง นนท์ก็ทราบในทันทีว่าเขาไม่ได้ใส่กางเกง!!! เขาไม่ได้ใส่เสื้อ!!! ใช่!! เขาเปลือยเปล่า!!! เหมือนคนพวกนั้นที่เขาเจอเมื่อคืน มันไม่ใช่ความฝัน!!! นนท์กลอกสายตามองไปรอบบริเวณ มันเป็นกระท่อมหลังเล็ก กะทัดรัด โครงของตัวกระท่อมทำจากไม้ในท้องถิ่น ฝาและหลังคามุงด้วยใบหญ้าแห้งๆที่นาได้บริเวณนั้น นี่มันที่ไหน!! เกรียงไกร สก๊อตต์ โรเบิร์ต และมุมโต้ พวกนั้นจะปลอดภัยรึเปล่า!! ศาสตราจารย์ใหญ่วัย 45 พยายามลุกขึ้น เขาไม่กล้าที่จะออกไปนอกกระท่อมด้วยร่างกายที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้าใดๆอย่างนี้
"จะเป็นอะไร พวกนั้นก็ไม่ได้จะทำร้ายเรา ดร.นิตย์ก็เป็นคนดี และมันก็แก้ผ้ากันหมด" ดร.ชื่อดังสบถกับตัวเอง เขาเปิดประตูและโผล่ตัวออกไปนอกกระท่อม ร่างกายที่เปลือยเปล่ารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของลม ที่พัดผ่าน ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย แต่นั่นยังไม่สามารถเทียบได้กับสภาพชุมชนที่เขาพบเห็น ยังมีกระท่อมอีกหลายหลังที่สร้างแบบเดียวกัน พลันเขาก็ได้เห็นผู้คนเปลือยเดินผ่านไปมา คนพวกนั้นทุกๆคนยิ้มแย้มให้เขา แต่เขาไม่ได้ยิ้มตอบเลย ใบหน้าแสดงถึงความตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ คนพวกนั้นไม่ใช่คนดำ ไม่ใช่คนท้องถิ่น อาจมีคนดำอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายเมื่อเทียบกับคนสีผิวอื่น ชนเผ่านี้มีทั้งชนผิวเหลือง ขาว ผมทอง ดำ และแดง มีทั้งชายและหญิง เดินไป เป็นความหลากหลายทางชนชาติที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน นี่มันอะไร!! คำถามในใจเกิดขึ้น ที่จริงมันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เขารู้ว่าคำตอบของทุกสิ่งกำลังใกล้เข้ามาเมื่อเขาใดที่เขาพบ ดร.นิตย์ เดชธำรง ผู้ที่คนทั้งโลกคิดว่าเสียท่านไปแล้ว แต่ในขณะที่ยังไม่เจอท่าน สายตาของเขาก็เพิ่มคำถามอีกมากมาย ไม่นานร่างเปลือยผิวขาว ผมทอง กับหนวดเครารกรุงรัง ก็เดินเขามาหาเขา ร่างนั้นก้มมองของลับของ ดร.นนท์ นาคะเกียรติ สองมือนั้นรีบปิดอวัยวะที่ไม่เคยได้แสดงต่อใครผู้ใดมาก่อน ชายเปลือยแหงนหน้าขึ้นมองตาเขา ปากนั้นส่งเสียงเป็นภาษาอังกฤษ "ผมล้อเล่นหรอก ผมรู้ว่าคุณยังไม่เคยเปลือยเปล่าเช่นนี้ ผมชื่อโรเจอร์ครับ ดร.นิตย์ และทุกๆคน กำลังรอคุณอยู่ ตามผมมาได้เลย" ชายที่บอกเขาว่าชื่อโรเจอร์เดินเบือนหน้าไปอีกทางแล้วเดินไป ดร.นนท์ เดินตามเขาอย่างไม่ลังเล เขาไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่าอยู่ดักดานในกระท่อมหลังนี้

ลมพัดโชยเย็น แต่ขนที่เคยลุกซู่เมื่อครั้งสัมผัสบรรยากาศครั้งแรกก็เริ่มปรับสภาพได้ สภาพบ้านเมืองของชุมชนคนเปลือยนี้ดูแล้วน่าอยู่มาก มันกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีซีเมน ไม่มีพลาสติก และแน่นอนไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่คนจะสวมใส่ เขาเดินตามโรเจอร์ผ่านผู้คนมาหน้าหลายตา หลายสีผิวมองเขาและยิ้มให้ เขาเบือนหน้ากลับมาทางฝรั่งเปลือยผู้นั้น
"อา..โรเจอร์ ผมมีอะไรจะถามคุณหน่อย" ศาสตราจารย์เอ่ยถาม แม้จะยังไม่เคยได้เสวนาอันใดกับโรเจอร์แต่เขากลับรู้สึกสนิทสนมกับชายผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก
"ผมเสียใจครับ ดร.นิตย์ บอกว่าท่านจะเป็นคนบอกเล่าทุกอย่างให้คุณฟังด้วยตัวเอง"
นนท์เข้าใจ นี่ช่างเป็นการปฏิเสธที่จริงใจซะเหลือเกิน

เขาทั้งคู่เดินมาใกล้จนใกล้ถึงศาลาหลังหนึ่ง ดร.นิตย์ กับทุกๆคนในทีมวิจัยนั่งรอเขา เขาตื่นเต้นมากที่ได้เจอคนเหล่านี้ แม้ทุกๆคนจะอยู่ในสภาพเปล่าเปลือยก็ตามแต่ทุกคนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
"มาเถอะ พวกเรากำลังรอคุณมารับประทานอาหารร่วมกัน" ศาสตราจารย์ที่ลึกลับที่สุดในโลกคนหนึ่งกล่าว ดร.นนท์ยิ้มรับ เขามองไปโดยรอบมันเป็นศาลามุงด้วยหญ้าขนาดใหญ่โอ่งโถง เป็นครั้งแรกที่นนท์ นาคะกียรติ์ เห็นสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้เป็นกระท่อม ไม่รู้ว่าเวลาต่อๆไป เขาจะได้เห็นอะไรที่เป็นสิ่งแรก ณ ดินแดนแห่งนี้อีก
"ทานอาหารกันดีกว่า อาจารย์" เกรียงไกรเชื้อเชิญ เขารู้สึกแปลกๆไป เขาสนิทกับเกรียงไกรพอสมควร แต่ก็อดเขินไม่ได้ที่จะพูดคุยกับลูกน้องเก่าในสภาพเปลือยเปล่าเช่นนี้ ที่แปลกกว่านั้นคือ อาหารนี่มีแต่พืช ผัก และผลไม้ นนท์ลองรับประทานดู มันอร่อยกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก กลืนคำแรกลงคอแล้ว
"พวกคุณมาที่นี่ได้ยังไงกันนี่" คำถามแรกจากปากนนท์ นาคะเกียรติ์ เล็ดรอดออกมาจนได้
"ดร.นิตย์ ส่งคนไปตามพวกเรามา เราอยู่กระท่อมคนละหลังกัน ท่านบอกว่าเราจะมารอคุณกันที่นี่ และจะร่วมทานอาหารกัน" สก๊อตต์ตอบ ชาวอังกฤษผู้นี้ดูไม่เหมือนกับชายที่โดยเสือโคร่งตัวยักษ์จ้องหน้าเมื่อคืนเลย โรเบิร์ตก็เหมือนเดิม เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ก็ดูร่าเริงขึ้นสังเกตได้จากใบหน้า แต่มุมโต้เองกลับดูร่าเริงเป็นพิเศษ
"มุมโต้ ทำไมคุณดูร่าเริงเป็นพิเศษนะเนี่ย" เป็นประโยคคำถาม ที่ไม่ใช่การแซวของ นนท์ นาคะเกียรติ์ เขาอดถามไม่ได้ที่เห็นชายดำร่างใหญ่นอกเสื้อซาฟารีดูร่าเริงเป็นอย่างมาก
"ผมคงต้องบอกพวกคุณทุกคนซะแล้วในวันนี้ นี่คือบ้านของผม" พวกเขาที่เหลือต่างมึนงง
"ผมเดินทางเข้ามาในป่านี้นานแล้วกับพ่อและแม่เมื่อยังเด็ก ช้างป่าตกมันตัวใหญ่โผล่มาในขณะที่พวกเรากำลังออกหาของป่า พ่อและแม่ตายคาตีนอันมโหฬารของมัน" มุมโต้หยุดพูด ราวกับไม่อยากเอ่ยถึงมัน
"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณ" สก๊อตต์ถามด้วยความอยากรู้
มุมโต้ที่คราวแรกดูท่าทางอึดอัดใจที่จะเล่า ก็เริ่มว่าต่อ "ผมรอดมาได้ ชายเปลือยคนหนึ่งเดินมาหยุดช้างตกมัน เขาวิ่งเข้ามาบังหน้าผม ตาจ้องไปที่ช้างแอฟริกันตกมันตัวนั้น ช้างสงบลง มันก้มตัวลงมา ชายคนนั้นลูบหัวช้างประหนึ่งสัตว์เลี้ยง แล้วจากไป" ทุกคนตะลึงกับเรื่องเล่าราวปาฎิหารย์
"ชายคนนั้นคือ ดร.เกมบัว เฮอนันเดซ หนี่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ดินแดนของเรา" เสียงจาก ดร.นิตย์ ยิ่งทำให้พวกเขาต่างงง แต่ก็เริ่มจะจับใจความได้
"ท่านช่วยมุมโต้ไว้ แล้วพาเขาออกไปนอกป่า มุมโต้ระลึกถึงสิ่งต่างๆได้ดี เขาต้องการกลับมาที่นี่ เขารู้สึกว่าท่านเกมบัวเหมือนประหนึ่งผู้ให้ชีวิตเขา" นนท์เข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับมุมโต้แล้ว แต่เขายิ่งสงสัยว่า นักโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์มาเกี่ยวอะไรด้วยในป่าแห่งนี้
ราวกับ นิตย์ ธำรงเดช อ่านใจของเขาได้
ท่านกล่าวต่อว่า "อย่างที่ทุกคนทราบ ศ.ดร.มาร์ติน จอห์นสัน และ ศ.ดร.เกมบัว เฮอร์นันเดซ ทั้งสองท่านเป็นบุคคลระดับรางวัลโนเบลของโลก ทั้งสองท่านเดินทางมาสำรวจหาแหล่งอารยธรรม ณ ป่าแห่งนี้ร่วมกัน แล้วพวกท่านก็ค้นพบ" ดร.นิตย์ หยุดกล่าว ราวกับจะให้คนอื่นๆร่วมถาม
"พวกท่านพบแหล่งอารยธรรมเหรอครับ?" โรเบิร์ตถามขึ้นมา บ๊อบไม่เคยเอ่ยปากอย่างตื่นเต้นขนาดนี้
"ท่านทั้งสองไม่ได้ค้นพบอารยธรรมอะไรที่พวกคุณคิดหรอก พวกท่านพบชายคนป่าเปลือยกลุ่มหนึ่งต่างหาก"
เงียบนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ "พวกท่าน มองเห็นคนเหล่านั้น ท่านทั้งสองจึงได้เห็นถึงชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง และเลือกที่จะทิ้งชีวิตแบบดั้งเดิมในสังคมของท่าน"
"สู่ดินแดนที่ไร้อารยธรรม??" สก๊อตต์ถามโผล่งขึ้นมา
ศาสตราจารย์ผู้ลึกลับ กล่าวตอบอย่างใจเย็น "อารยธรรมของพวกคุณคืออะไร คือเสื้อผ้า อาวุธ หน้ากาก ความรุนแรง และการหลอกลวงกระนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ดินแดนของเราก็คงไร้ซึ่งอารยธรรม"
นนท์ นาคะเกียรติ์เข้าใจในทุกอย่างแล้ว นักโบราณคดีระดับโนเบลเห็นถึงสัจธรรมอันเที่ยงแท้ สังคมมนุษย์ที่แสวงหาความสูงส่งของอารยธรรมทางวัตถุ แต่ในทางนามธรรมแล้ว มนุษย์กลับสูญเสียความสูงส่งของอารยธรรมทางจิตใจไป ความรุนแรง ความโลภ การหลอกลวง และสิ่งต่างๆอีกมากมาย เข้ามาทำลายความสูงส่งของสังคมจนทำให้มันเสื่อมโทรมลง มนุษย์ในวันนี้ใส่หน้ากากเข้าหากัน หน้ากากที่บดบังความเป็นตัวเอง
"ความเปลือยเปล่าก็เสมือนการเปิดเผย คือสังคมที่จริงใจ ไม่มีอะไรจะต้องปิดกัน" ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ กล่าวและมองตาศาสตราจารย์รุ่นพี่
"ถูกต้องแล้ว คุณเข้าใจผม และท่านทั้งสอง นี่คือสาเหตุที่ผู้คนมากมายค้นพบเราในช่วง 20 ปี มานี่ แล้วเลือกที่จะไม่กลับออกไป" เขาเข้าใจ และทุกๆคนต่างเข้าใจ คนหลายเชื้อชาติเป็นคนที่เข้ามาในฐานะต่างๆ ทั้งนักโบราณคดี นักเดินป่า นักพฤษศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเศรษฐีที่มาฮันนีมูน คนเหล่านี้พบเห็นความประเสริฐนี้ และเลือกที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไป โดยโลกคิดว่าเขาสาบสูญ นี่คือสาเหตุที่คนอื่นๆต่างลือกันว่านี่เป็นสังคมมนุษย์กินคน มนุษย์มองทุกอย่างที่ตัวเองไม่รู้อย่างเลวร้ายเสมอ
"สังคมของเรามีการแบ่งงานกันทำ มีหัวหน้า มีลูกน้องเหมือนสังคมปกติ เพียงแต่เราไม่ทำร้าย หรือหลอกลวงกัน อยู่กันอย่างสันติและช่วยเหลือกัน เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ และบริโภคอาหารจากพืช เรารู้จักนิสัยของสัตว์ป่า นี่คือสังคมที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างต้องเข้าใจกัน ความรุนแรงทำให้เกิดความรุนแรงกลับมา ความเข้าใจต่างหากที่ทำให้ทุกคนรวมทั้งสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ" คำพูดนั่นทำให้ทุกอย่างช่างกระจ่างชัดซะเหลือเกิน
ดร.นิตย์พาทุกคนเดินชมดินแดนแห่งนี้ การช่วยเหลือกัน รอยยิ้ม การแบ่งปัน และที่สำคัญคือความจริงใจ พบเห็นได้ตลอดในวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ มันช่างต่างจากดินแดนที่นนท์จากมา นนท์ย้อนถามตัวเองในใจว่าสังคมมนุษย์กำลังเจริญขึ้นหรือถอยหลังลงคลองกันแน่
"แล้ว นักโบราณคดีทั้งสองท่านอยู่ไหนแล้วครับ ท่านศาสตราจารย์" นนท์ นาคะเกียรติ์ ถามในสิ่งที่เขาปรารถนาจะทราบอย่างยิ่ง
"ท่านทั้งสองเสียชีวิตไปแล้วอย่างสงบ ท่านมีความสุขมากบนดินแดนนี้"
"ผมเสียใจด้วยจริงๆครับ"
"ไม่ต้องเสียใจหรอก พวกท่านไปสบายแล้ว ท่านทั้งสองตายหลังจากดำรงชีวิตอย่างสงบ ช่วยเหลือผู้คน พวกท่านจากไปท่ามกลางทุกๆคนที่รักพวกท่าน" ทุกคนต่างทราบซึ้งในคำพูดคำนั้น
"พวกคุณสามารถจะเลือกที่จะอยู่ที่นี่ได้นะ ถ้าพวกคุณต้องการ ผมรู้ว่าโลกภายนอกมันร้ายเพียงใด" นิตย์ เดชธำรงกล่าว
"ผมอยู่ครับ ผมไม่ต้องการไปไหนแล้ว นี่คือบ้านของผม" มุมโต้แสดงเจตจำนงอย่างชัดแจ้ง
ส่วนคนอื่นๆไม่มีทีท่าอย่างนั้น พวกเขาพบเห็นสิ่งเหล่านี้ นั่นทำให้พวกเขาเกิดความตั้งใจบางอย่าง ศาสตราจารย์ผู้สาบสูญกล่าวต่อพวกเขาอย่างรู้ทันความคิด
"แต่หากพวกคุณต้องการจะกลับไป เราจะพาคุณออกไปให้ ขอให้เรื่องราวของเรานี้เป็นความลับประหนึ่งเทพนิยายที่ไม่มีวันที่สังคมภายนอกจะได้รู้ความเป็นจริง ขอให้สร้างสังคมให้บริสุทธิ์กว่าที่มันเป็นนะ และขอให้ทุกๆคนโชคดี" คำพูดประหนึ่งคำอวยพร พวกเขาน้อมรับ ก่อนที่ชนเปลือยจะพาพวกเขาออกมาส่งถึงเกือบชายป่า แล้วจากหายไป

สุริยาดวงเดียวกัน บนโลกใบเดียวกันนี้กำลังจะสิ้นแสง นนท์ นาคะเกียรติ์ยืนมองภาพสนามบินแห่งชาติคองโกซึ่งมีคนเดินขวั่กไขว่ไปมา เขามองมัน แต่นึกถึงเรื่องราวที่พึ่งผ่านไป มันเหมือนเป็นความฝัน เขานึกขัน เขาเคยยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องหาคำตอบจากเผ่ากินคนให้ได้ แต่ในขณะนี้เขายืนอยู่ที่เดิมนั่น ด้วยความมุ่งมั่นที่เปลี่ยนไป เขาไม่มีคำถามใดๆต่อชนเผ่านั้นเลย แต่กลับมีคำถามมากมายกับแผ่นดินที่เขากำลังจะกลับไป เขาเหลือบมอง สก๊อตต์ และโรเบิร์ต สองคนนี้ก็คงคิดเช่นเดียวกับเขา ทั้งคู่กำลังจะกลับไปยังแผ่นดินของแต่ละคน สก๊อตต์เล่าว่าเขาจะกลับไปทำงานในองค์กรช่วยเหลือมนุษยชน ส่วนบ๊อบนั้น เขาวางแผนที่จะทำงานวิจัยต่อไป แต่จะวิจัยในเชิงสร้างสรรค์ และยึดความเป็นวัตถุนิยมให้น้อยลง พลันเหลือบตามองลูกน้องเก่าคนเก่งของเขา ดร.เกรียงไกร ธรรมกฤต ตัดสินใจไม่ต่างจากคนอื่นๆนัก เขาเลือกที่จะทำงานในฐานะนักโบราณคดีต่อไป แต่จะมุ่งเน้นถึงเรื่องจิตใจของมนุษย์ให้มากกว่าความเจริญทางวัตถุ ในแววตาแห่งความมุ่งมั่นของเกรียงไกร และอีกสองคน นนท์ นาคะเกียรติ์ เห็นถึงความอ่อนโยน ความสมาถะ ความจริงใจ อันเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน แต่ดินแดนอันเปลือยเปล่าเติมมันให้พวกเขาได้จนเต็ม นนท์คิดถึง ดร.นิตย์ และมุมโต้ ควรจะน่าเสียดายไหม ที่สังคมมนุษย์ภายนอกจะต้องขาดคนดีๆอย่างพวกเขา แต่ถ้ามองในทางกลับกัน น่าแสดงความยินดีต่อผู้คนในชุมชนนั้น พวกเขาพบความยิ่งใหญ่ของชีวิตแล้ว แต่ตัวของเขาล่ะ เขายังต้องการอะไรอีก ทำไมเขาไม่อยู่ ณ แดนเปลือยแห่งนั้นกับคนที่เหลือ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็คือทางที่เขาเลือก เขารู้สึกถึงจิตใจของตัวเองที่เปลี่ยนไป มันเป็นผลจากช่วงเวลาที่ชายที่ประสบความสำเร็จ ตีค่าชีวิตไว้ในแบบแผน เกือบตายด้วยอุ้งตีนเสือโคร่ง แต่สุดท้ายก็พบจุดสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วก็จากมันมา
ทันใดนั้นความคิดทุกอย่างก็ยุติลง นักข่าวมากมายวิ่งกรูเข้ามาหาเขาอย่างนกรู้ พวกนั้นรุมสัมภาษณ์ถึงการกลับมาราวกับปาฎิหารย์จากทีมสำรวจทุกคน เขาเพียงตอบไปว่า พวกเขาหาชนเผ่านั้นไม่พบ มันไม่น่าจะมีอยู่จริง แต่ภายในป่ามีสัตว์ร้ายมากมาย เป็นไปได้ว่าคนที่หายไปอาจตายไปแล้ว เขาไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ สังคมนี้ในบางครั้งก็หนีการโกหกไม่พ้นจริงๆ อาจจริงอย่างที่ ดร.นิตย์ ว่า "โลกภายนอกช่างเลวร้าย"

แสงแดดสีนวลส่องผ่านเข้ามาในห้อง เป็นภาพของแมวขนปุกปุยสีขาวกำลังกินอาหารที่เจ้าของเลี้ยงมันอย่างเอร็ดอร่อย เครื่องให้อาหารทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ หนุ่มใหญ่วัย 45 ปีผู้เป็นเจ้าของเดินเข้ามาหามัน เขาจ้องและพูดกับมัน "ข้าว่าข้าเข้าใจโลกมากขึ้นแล้ว การเดินทางอันแสนไกลทำให้ข้าได้รู้ซึ้งว่าสิ่งที่เราทำอยู่ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราแสวงหาจริงๆก็ได้ เอ็งต้องรู้จักรับอะไรในด้านอื่นบ้างเหมือนที่ข้าได้มา" เขาปิดเครื่องให้อาหารนั้น แล้วเปิดกรงให้แมวน้อยน่ารักเดินออกมา "พรุ่งนี้ข้าจะพาเอ็งออกไปเดินเล่น เอ็งอยู่ในกรงนี้มานานเกินไปแล้ว" นนท์ นาคะเกียรติ์ ลูบหัวเจ้าแมวนั่น เขายิ้ม คืนนี้เขานอนอย่างมีความสุขในบ้านที่เขาจากมาหลายวัน

แดนเปลือย (The Naked Land) ภาค 1

"อารยธรรมของพวกคุณคืออะไร คือเสื้อผ้า อาวุธ หน้ากาก ความรุนแรง และการ- หลอกลวงกระนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ดินแดนของเราก็คงไร้ซึ่งอารยธรรม"

เขาเป็นนักโบราณคดีหนุ่มซึ่งกำลังโด่งดังในเรื่องการศึกษาภูมิปัญญาและอารยธรรมของประเทศ ปริญญาเอกสองใบจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาส่งผลให้เขามีโอกาสได้รับทุนวิจัยในการศึกษาเรื่องราวทางอารยธรรมต่างๆ เขาเดินทางไปทั่วเพื่อศึกษา เปรียบเทียบอารยธรรมบ้านเชียงของไทย กับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ จีน เมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก ไซปรัส เขมร รวมถึงโรมัน หลังจากที่ ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ ได้เดินทางไปทั่วโลกแล้ว เขาได้กลับมาสร้างความฮือฮาที่สุดในวงการประวัติศาสตร์ไทย เขาค้นพบเส้นทางชลประทานที่บ้านเชียง รวมทั้งยังพบเครื่องมือทันสมัยในยุคนั้นเช่นรอก และคาน ซึ่งอยู่ตามตำแหน่งที่ ดร.นนท์ได้คำนวณไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เขาสามารถค้นหาแห่งอารยธรรมใหม่ๆได้มากมาย จากการสำรวจและคำนวณว่าพื้นที่บริเวณไหนน่าจะเป็นที่ตั้งของแหล่งชุมชนในอดีต เขายังสร้างชื่อในต่างประเทศอีกด้วย เขาค้นพบแหล่งอารยธรรมในเวียตนาม เกาะไต้หวัน รวมทั้งสามารถแปลภาษาโบราณของอียิปต์ได้อย่างละเอียด จนทำให้วงการประวัติศาสตร์ของโลกตื่นตะลึงมาแล้ว งานวิจัยของเขาสร้างประโยชน์มากมายให้แก่สังคมโลก เขาได้เป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุ 40 ปี นิตยสารชื่อดังของต่างประเทศนำใบหน้าขาวๆ ใส่แว่นกรอบหนาสีดำ กับเสื้อเชิร์ตเก่าๆสีขาวแกมเหลืองอันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาไปแล้วตามกาลเวลามาเป็นภาพขึ้นปก ยกย่องเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์แห่งทศวรรษ รวมทั้งถูกเสนอชื่อขึ้นรับรางวัลโนเบลด้วย

แสงแดดสีนวลส่องผ่านเข้ามาในห้อง เป็นภาพของแมวขนปุกปุยสีขาวกำลังกินอาหารที่เจ้าของเลี้ยงมันอย่างเอร็ดอร่อย มันอยู่ในกรงนี้มานานแล้วนับตั้งแต่เขาซื้อมันมาจากสวนจัตุจักร มันไม่มีความจำเป็นต้องออกไปจากกรงนี้ ในเมื่อเจ้าของเลี้ยงดู ให้อาหารมันอย่างดี หนุ่มใหญ่วัย 45 ปีผู้เป็นเจ้าของ มองตัวเองในกระจก สายตาคู่นั้น เขาอาจจะเป็นคนเดียวล่ะมั้งที่เคยเห็นตัวเองตอนไม่ใส่แว่นตากรอบหนาอันนั้น ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ จ้องภาพที่สะท้อนกับกระจกเงา "กูคือคนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงจากการค้นพบอะไรมากมาย แต่ทำไม ทำไมกูยังเหมือนกับว่ากูต้องการอะไรอีก กูควรจะหยุดและพักผ่อนมั้ย" นนท์กล่าวกับตัวเอง เขาไม่เข้าใจ นี่อาจเป็นกิเลสของคน อายุขนาดนี้เขาควรจะทำงานในห้องทำงาน กินเงินเดือนสูงๆ มีลูกมีเมียได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงอยากเดินทางไปเพื่อหาอะไรต่อมิอะไรมากมาย เขายิ้ม และมองไปที่เจ้าแมวน่ารักซึ่งกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยตัวนั้น "ข้าอาจจะเหมือนกับเองก็ได้นะ การเดินทางคือชีวิตของข้า ถ้าข้าขาดมันก็คงเหมือนเอ็งขาดอาหาร เราคงตาย" เขาเบือนหน้ากลับมาที่เตียงของเขา มีกระเป๋าเดินป่าใบใหญ่วางอยู่ กับเสื้อผ้า และของใช้ สะเปะสะปะไปหมด เขาเก็บของ เช็คพาสปอร์ตที่เตรียมจะใช้เดินทาง และไม่ลืมที่จะตั้งเครื่องให้อาหารแมวนั้นไว้เนื่องจากเขาคงต้องจากมันไปหลายวัน ดร.นนท์ กำลังจะไปแอฟริกา

เขาเคยได้ยินเรื่องชนเผ่ากินคนลึกลับในคองโกมานานแล้ว คนต่างชาติมากมายหายไปในป่าดงดิบในการสำรวจทางโบราณคดี นี่รวมถึงนักโบราณคดีชื่อก้องโลกในอดีตอีกหลายคน เริ่มจาก ศ.ดร.มาร์ติน จอห์นสัน และ ศ.ดร.เกมบัว เฮอร์นันเดซ นักโบราณคดีระดับรางวัลโนเบลของสหรัฐฯ และเสปน ซึ่งทั้งสองหายไปร่วม 20 ปีแล้ว นักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์ นักเดินป่า นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลายต่อหลายคนก็หายไปในดินแดนนี้ และที่สำคัญเมื่อราวๆ 3 ปีที่แล้ว ยังมีนักโบราณคดีชื่อดังของไทยด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นิตย์ เดชธำรง ผู้โด่งดังก้องโลกในวงการโบราณคดีหลังจากการค้นพบหลักฐานเส้นทางการติดต่อระหว่างเมโสโปเตเมียกับอารยธรรมสินธุ ก็กลายเป็นบุคคลสาบสูญไปด้วย ดร.นิตย์ อายุแก่กว่าเขาพอสมควร พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่เขากลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ เขาเข้ามารับหน้าที่เป็นนักวิจัยที่คอยช่วยเหลือท่าน ท่านเป็นคนให้การสนับสนุนเขามาตลอด สั่งสอนให้ความรู้เขา เขายังจำคนคนนี้ได้ดี ดร.นิตย์เคยบอกเขาว่า "อารยธรรมคือเครื่องแสดงความเจริญ เราเป็นนักโบราณคดี เราต้องทำหน้าที่แสดงความเจริญนี้ออกมาสู่สาธารณะ อย่าให้มันสาบสูญไปกับกาลเวลา" มันเป็นประโยคที่ให้กำลังใจในการทำงานแก่เขามาตลอด เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ ดร.นิตย์เป็นคนเก่ง และนิสัยดี ท่านมาที่นี่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพื่อหาชนเผ่ากินคน และช่างโชคร้ายที่ท่านพบ นี่ไม่ใช่ข่าวโคมลอย ทางการคองโกทราบเรื่องว่า ดร.นิตย์ กลายเป็นเหยื่อของชนเผ่านี้จากหนังสือการเดินทางของเขา ดร.นิตย์ จะมีติดตัวไว้ตลอด หน้าสุดท้ายท่านพรรณนาว่าท่านพบมันแล้ว และกำลังจะสะกดรอยตามไป ไม่มีข้อความใดๆหลังจากนั้น ทางการบุกเข้าไปช่วยเหลือแต่ก็ไม่พบ ศพของคนเหล่านี้ไม่เคยได้พบเห็นเลย คองโกดูเป็นแผ่นดินอันตรายสำหรับนักวิจัยแบบพวกเขา แต่นนท์ นาคะเกียรติ์ ไม่กลัว ไม่แน่มันอาจเป็นกิเลสอีกอย่างของเขา เขาชอบเดินทาง ชอบเสี่ยง และแน่นอนเขาต้องการหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับ ดร.นิตย์ เดชธำรง

ณ แผ่นดินแห่งความลึกลับกำลังจะได้ต้อนรับผู้มาเยือนที่คาดไม่ถึง เครื่องบินลำเล็กลงจอดที่สนามบินรัฐคองโก ศ.ดร.นนท์ นาคะเกียรติ์ เดินลงมาจากเครื่อง พลันนักข่าวมากมายจากหลากหลายประเทศก็เข้ามารุมล้อมเขา การมาของ ดร.นนท์ เป็นข่าวดังมากในวงการวิจัยเกี่ยวกับโบราณคดี เรื่องนี้ทำให้เผ่ากินคนในคองโกกลับมาโด่งดัง และพูดถึงกันมากอีกครั้ง ถ้าเป็นคนอื่นคงตื่นตะลึง แต่ ดร.นนท์ ชินกับเรื่องแบบนี้เขาพบนักข่าวมากมายมาตลอดในชีวิตการทำงานของเขา พวกนี้โผล่มาตอนเขาโด่งดัง และคงจะจากไปหากงานของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของคนพวกนี้ก็ได้ นนท์ นาคะเกียรติ์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวซักพัก ไม่นานก็มีเสียงตะโกนออกมาจากนอกวง
"ท่านศาสตราจารย์ครับ รถซาฟารีพร้อมแล้วครับ ท่านจะไปเลยรึเปล่าครับ"
"ไปเลยสิ ขอบใจมาก เกรียงไกร" นนท์ นาคะเกียรติ์ ตอบผู้ส่งเสียงหนุ่มหล่อตัวสูงใหญ่ผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึก
เขาเดินฝ่ากลุ่มนักข่าว แล้วขึ้นไปนั่งข้างหลังรถซาฟารีคันนั้น ซึ่งจอดอยู่ห่างไม่ไกล คนขับเป็นคนผิวดำรูปร่างใหญ่ใส่ชุดลาย คงชาวพื้นเมืองคองโก เกรียงไกรขึ้นรถมานั่งข้างๆคนขับ รถเริ่มออกเดินทาง
"ขอบใจอีกครั้งนะเกรียงไกร ที่มาดูแลผมอย่างดี"
"โธ่ท่านศาสตราจารย์ครับ ท่านมีบุญคุณกับผมขนาดนี้ ถ้าผมรู้ว่าท่านจะมา แถมมาดูงานวิจัยของผมด้วย จะไม่ให้ผมดูแลท่านได้ยังไง"
ดร.เกรียงไกร ธรรมกฤต เป็นอดีตนักวิจัยที่ทำงานร่วมกับ ดร.นนท์ มาตั้งแต่ครั้งขุดหาอารยธรรมบ้านเชียง ก่อนจะออกมาทำงานวิจัยอันสุดจะอันตรายนี้
"งานไปถึงไหนแล้วหรือเกรียงไกร ได้อะไรบ้าง"
"ก็ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ครับท่าน เราพยายามหาชนเผ่าอานารยชนเผ่านี้ในป่าบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของคองโกมานานหลายเดือนแล้ว แต่ไม่พบอะไรเลย นี่ขนาดผมอาศัยบันทึกการเดินทาง และงานวิจัยของ ดร.นิตย์ ช่วยแล้วนะครับ คองโกเป็นป่าดงดิบครับ การจะเดินลุยเข้าไปยากลำบากจริงๆ" เกรียงไกรตอบอย่างเปิดเผย นั่นเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินนี้ที่เขาได้ยินชื่อ ดร.นิตย์ เดชธำรง
เกรียงไกรกล่าวต่อว่า "ก็หวังให้ท่านศาสตราจารย์ช่วยผมล่ะครับ ท่านคงจะพอกำหนดจุดบริเวณได้เพื่อเราจะได้ค้นหาต่อไป"
"ไม่มีปัญหาหรอกเกรียงไกร แต่ก่อนอื่นน่ะ เรียกผมว่า อาจารย์ ก็พอ"

พวกเขาเดินทางมาเกือบถึงป่า บริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของทีมวิจัยของ ดร.เกรียงไกร หนุ่มนักโบราณคดีผู้เป็นเจ้าบ้านพาเขาเข้าไปชมสถานที่ปฏิบัติงานซึ่งเป็นกระท่อมสองหลัง ใหญ่กับเล็ก มุงด้วยหญ้าเป็นหลังคา งานนี้เป็นงานที่ท้าทายสำหรับนนท์มาก เขาเคยค้นพบแต่อารยธรรมที่ดับสูญไปแล้ว แต่วันนี้เขากำลังจะต้องเผชิญกับชุมชนกินคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจอกัน
"อาจารย์ครับ นี่ สก๊อตต์ นี่ โรเบิร์ต และนี่ ลืมแนะนำให้อาจารย์รู้จัก เขาชื่อ มุมโต้ครับ" เกรียงไกรชี้ไปที่คนดำร่างใหญ่ในชุดลายพรางที่พาพวกเขามายังที่นี่
"สองคนแรกเป็นผู้ช่วยของผมมาจากอังกฤษ และสหรัฐฯ คนหลังนี่เป็นนักเดินป่าท้องถิ่น ที่จะพาเราเข้าไปวันพรุ่งนี้ครับ"
ดร.นนท์ ทำความรู้จักกับทุกคน สก๊อตต์เป็นฝรั่งหัวทอง ผมสั้น ตัวเล็กประมาณคนไทยนี่แหละ เขาเป็นคนคุยสนุก เขาเล่าว่าเขาเบื่อชีวิตสุขนิยมที่อังกฤษซะเหลือเกินเลยตัดสินใจมาร่วมงานกับ ดร.เกรียงไกร คราวนี้ถึงแม้จะเสี่ยง และความพยายามหลายเดือนจะยังไม่สำเร็จผล แต่ก็ไม่น่าเบื่อเท่าชีวิตในอังกฤษที่เขาต้องทนอยู่มาทั้งชีวิต ส่วนชายร่างสูง ผอม ใส่แว่นหนาอย่างโรเบิร์ตนั้นต่างออกไป เขาเป็นนักวิจัยมืออาชีพ เขากระหายความสำเร็จ จึงตัดสินใจมาร่วมงานอันตรายนี้ทันทีที่ ดร.เกรียงไกร ชวนเขามา บ๊อบเป็นคนพูดน้อย และจริงจัง ส่วนมุมโต้นั้นมาใหม่ เขาเป็นนักเดินป่าคนที่ 5 แล้วที่ทีมวิจัยเปลี่ยนมา เพราะคนก่อนๆต่างกลัวงานนี้หมด นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้งานล่าช้า นอกเหนือจากความหนาทึบของป่า
นนท์ นาคะเกียรติ์ เข้าที่พักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ตรงกระท่อมหลังเล็กหลังจากร่วมรับประทานอาหารกับทีมวิจัยนี้เสร็จ เป็นอาหารง่ายๆ พออิ่ม เขาต้องนอนให้เต็มที่เพื่อการเดินทางในวันพรุ่งนี้

เบื้องหน้าของเขาคือสีไฟสีแดงสลับเขียวสลับน้ำเงิน แปรเปลี่ยนมั่วไปหมด นนท์กำลังสับสน เขาเห็นเกรียงไกร และทีมวิจัยหายไปกับแสงไฟเหล่านั้น พลันมนุษย์รูปร่างใหญ่น่ากลัว เขี้ยวหนาและเลือดที่ไหลนองเขี้ยวของมันทำให้มันยิ่งทวีความน่ากลัว พวกมันหลายร้อยคนรุมล้อมเขา ตัวของพวกมันอาบไปด้วยเลือด มือของมันบางตัวกำเครื่องในของมนุษย์อยู่ เล็บของมันยาวดูน่ากลัว พวกมันกำลังเดินเข้ามาหาเขา ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา พลันทุกอย่างก็หายไป และแล้วก็เป็นใบหน้าของ ดร.นิตย์ เดชธำรง เข้ามา ท่านศาสตราจารย์ยิ้มให้แก่เขา เขากำลังจะยิ้มตอบ ทันใดนั้นความดำมืดเข้ามาแทนที่ เขามองไม่เห็นอะไรเลย
"ท่านศาสตราจารย์!!!" นั่นเป็นเสียงแรกของเขาในวันใหม่ นนท์ นาคะเกียรติ์ สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันนั้น เหงื่อตกพราก เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาอาจจะกินอะไรผิดสำแดงเข้าไป หรืออาจเป็นเพราะการนั่งเครื่องบินมาหลายชั่วโมง หรืออาจเป็นผลของการปรับเวลาใหม่บนแผ่นดินใหม่ก็ได้ เขาหวังให้เป็นเช่นนั้น นนท์เหลือบสายตามองไปรอบข้าง ไม่เห็นคนในทีมวิจัยเลย เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปหน้ากระท่อม เกรียงไกรกำลังออกกำลังบริหารร่างกายอยู่ กล้ามเนื้อของเกรียงไกรดูแข็งแกร่งเหลือเกิน เขาต้องมีร่างกายที่พร้อมสำหรับการทำงานหนักอย่างนี้ นนท์นึกถึงเขาสมัยหนุ่มและยิ้ม เมื่อก่อนเขาก็มีร่างกายที่ฟิตเหมือนกัน ก่อนอะไรๆจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา กล้ามเนื้อที่เคยแน่นหนาก็เหี่ยวย่นลงไป หนุ่มนักวิจัยหันมาเห็นท่านศาสตราจารย์
"ท่านศาดเอ้ย อาจารย์ครับ นอนพักผ่อนก่อนได้ครับ เราคงจะเดินทางตอนสายๆครับ"
"อือ ก็ดี แต่ผมขอออกกำลังกายด้วยคนสิ" หนุ่มใหญ่กล่าวตอบ เขาเดินออกไปนอกกระท่อม ความกระชุ่มกระชวยของวัยหนุ่มเหมือนหวนกลับมาอีกครั้ง เขาไม่ได้คิดใส่ใจอะไรกับความฝันนั้นเลย หรือเขาอาจพยายามที่จะลืม

มุมโต้ชายร่างใหญ่ผิวดำในชุดลายพราง ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงการผ่านอะไรมาอย่างโชกโชน เกรียงไกรเล่าถึงมุมโต้ชายผู้เงียบขรึมคนนี้ว่า เขาเป็นนักเดินป่ามาตั้งแต่เด็ก เกรียงไกรเล่าว่าขณะมุมโต้ออกเดินป่าในวัยเด็กกับพ่อแม่ ครั้งหนึ่งพ่อแม่ของเขาต้องตายจากช้างแอฟริกันตกมัน วิ่งไล่ และเหยียบคนไม่เลือกหน้า แต่เขารอดตายมาอย่างปาฏิหารย์ และกลับออกมานอกป่า มาอยู่กับปู่ย่าที่เฝ้าตามหาเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหตุการณ์นั้นอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มุมโต้ดูเป็นคนลึกลับ เงียบขรึม ไม่มีใครรู้ว่าเขารอดมาได้ยังไง มุมโต้ไม่เคยเอ่ยกับใคร มุมโต้กำลังเตรียมสัมภาระทั้งหมดเพื่อการเดินทาง เขาเตรียมอาวุธครบมือ ปืนไรเฟิ้ลที่พร้อมจะปลิดชีพศัตรูผู้ไม่ได้รับเชิญก่อนที่มันจะทำอะไรที่ไม่คาดคิด ถัดไปนิดเดียวสก๊อตต์กำลังเตรียมอาหารมื้อสุดท้ายในสถานีนี้ให้แก่พวกเรา รวมทั้งเสบียงที่จะใช้เดินทาง หนุ่มอารมณ์ดีอายุน่าจะราวๆซัก 30 ต้นๆ ชอบทำอาหารมาก นนท์คิดว่าบางทีถ้า สก๊อตต์ไม่เป็นนักโบราณคดี เขาคงจะรวยจากการเป็นพ่อครัวใหญ่แน่ ขณะเดียวกันโรเบิร์ตก็กำลังเตรียมอุปกรณ์สำรวจทันสมัยอย่างขมั่กเขม่น มันจำเป็นมากเพื่อป้องกันอันตรายหากมีสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้เข้ามาใกล้ หรือไม่แน่มันอาจจะทำให้เรารู้ว่าเราใกล้ถึงอานารยชนเผ่านั้นแล้ว ดร.นนท์ กลับเข้ามาในกระท่อมนั่งลงบนเก้าอี้ เขาเริ่มดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ มี ดร.เกรียงไกร นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"ผมเสนอให้เราเดินทางในทิศทางนี้ ตรงนี้เป็นเขตป่าดงดิบที่หนาทึบ ในทางประวัติศาสตร์ของโบราณคดี ชาวป่ามักอยู่ตรงบริเวณนี้ของป่า" เกรียงไกรกล่าว
"คุณพูดมีเหตุผล ตรงเขตบริเวณนั้นก็เป็นไปได้ แต่ควรจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ผมเชื่อว่าชนเผ่านี้จะออกล่าเหยื่อซึ่งน่าจะเป็นพวกสัตว์ป่าที่มากินน้ำนะ" ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่ชี้นิ้วลงบนแผนที่ เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มเดินทางที่จะน่าสะพรึงกลัว…

บริเวณนี้ของคองโกเป็นที่โล่งมาก ดร.นนท์ สามารถมองเห็นไปถึงเขตชายป่านั้นได้เลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาแอฟริกา เขาเคยไปร่วมขุดหาอารยธรรมที่อียิปต์ ไนจีเรีย รวมถึงซิมบัคเวย์มาแล้ว แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่กี่อึดใจ รถซาฟารีก็จอด มันเข้าไปในป่าไม่ได้แล้ว พวกเขาลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ออกมาพบพวกเขา พูดภาษาท้องถิ่น มุมโต้คุยกับพวกนั้นอย่างรู้เรื่อง
"นายครับ เขาบอกว่าให้ฝากรถไว้บริเวณนี้ และท่านผู้อำนวยการป่านี้ได้ให้วิทยุสื่อสารไว้ เพื่อให้พวกเราติดต่อกับเขาหากเกิดภาวะฉุกเฉิน" นั่นเป็นประโยคภาษาอังกฤษ หรือทุกๆภาษาที่มุมโต้พูดยาวที่สุด นับตั้งแต่นนท์รู้จักเขามา รัฐบาลคองโกรอบคอบมาก พวกเขาเรียนรู้แล้วว่าการหายไปของนักโบราณคดีระดับโลกทำให้ประเทศของเขาดูแย่เพียงใด พวกเขาคงไม่อยากให้พลาดอีก เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยังพูดต่อกับมุมโต้ และตบไหล่เขา นนท์ นาคะเกียรติ์ ถามเขาด้วยความสงสัย
"พวกนั้นพูดว่าอะไรหรือ?"
"เขาว่า พวกเราแน่มากที่กล้าเสี่ยงขนาดนี้ และขอให้โชคดี"
ท่านศาสตราจารย์ยิ้มแหยๆ หวังว่านี่คงเป็นคำอวยพร

พวกเขาเดินเลยจากชายป่ามาซักพักแล้ว นานพอที่จะมองกลับไปไม่เห็นขอบแห่งพงไพรนี้ มุมโต้ เป็นคนถือแผนที่ และเข็มทิศ เขาพา นนท์ และคนในทีมไปตามทางที่กำหนดไว้ ในป่าดงดิบอะไรๆก็เหมือนกันไปหมด ต้นไม้ หญ้า ดิน นนท์ นาคะเกียรติ์ ไม่รู้เลยว่าเขากำลังอยู่ตรงไหนแล้ว เขาเดินทางตามนักเดินป่าไปไป ตามทิศทางที่เข็มทิศเป็นผู้กำหนดให้เดิน
"คุณเคยกลัวมั้ยที่ต้องมาจับงานแบบนี้?" นนท์ถาม ดร.เกรียงไกร ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น มันไม่ใช่คำถามเพื่อทำลายความเงียบ แต่เขาอยากรู้จริงๆ
"ผมตัดความกลัวทิ้งไปหมดแล้วครับอาจารย์ ผมเลือกที่จะทำมันเอง ใจผมรัก ผมว่า ดร.นิตย์ ท่านก็คงคิดเช่นนี้ตอนท่านมาที่นี่" อีกครั้งที่เขาได้ยินชื่อท่านจากปากของเกรียงไกร ศาสตราจารย์ผู้หายสาบสูญยังคงมีอิทธิพลต่อคนรุ่นต่อๆมาอย่างคาดไม่ถึง ทันใดนั้นเสียงที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น "ขะ ขะ ขะ เข็มทิศ มันไม่หมุนแล้ว" มุมโต้ไม่เคยพูดตะกุกตะกักเช่นนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่มุมโต้รู้ เช่นเดียวกับที่คนอื่นรู้ว่า ถ้ามันเกิดขึ้นพวกเราจะเป็นยังไง "แล้วเราจะทำยังไงกันเนี่ย" สก๊อตต์ถามหลังจากตะลึงกับเสียงของมุมโต้ "อาจเป็นเพราะพายุสุริยะที่ทำให้อุปกรณ์แม่เหล็กเสียหาย เราคงจะหลงป่าแล้ว" โรเบิร์ตตอบ หนุ่มคนนี้ยังดูเยือกเย็นเหมาะสมเป็นนักโบราณคดีอย่างแท้จริง เกรียงไกรหัวหน้าทีมลองติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้แต่มันไม่ได้ผล พายุสุริยะคงทำลายอุปกรณ์สื่อสารนี่ด้วย "อาจารย์ครับ เราลองให้สัญญาณไฟ หรือเรียงใบไม้เป็นสัญญาณที่พื้นดีไหมครับ" เกรียงไกรถามผู้มีประสบการณ์ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง "ไม่มีประโยชน์หรอก ป่าบริเวณนี้ทึบมา ไม่มีทางที่เฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลคองโกจะเห็นเราได้ ตอนนี้เราต้องหาทิศทางให้ได้ก่อน" นนท์ นาคะเกียรติ์ตอบลูกน้องเก่าอย่างใจเย็น "ยังไงครับ" สกอตต์ถามด้วยเสียงอยากรู้ นนท์ยังไม่ตอบอะไรเขาเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ลูบมัน และยื่นมือที่ลูบนั่นให้ทุกคนดู ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขา มือของท่านศาสตราจารย์มีสีเขียว มันคือมอส พืชที่ขึ้นเกาะลำต้นของต้นไม้ใหญ่
"มอสจะขึ้นตรงทิศตะวันออก เพื่อรับแสงแดด เราคงจะพอคลำทางออกไปได้" ทุกคนดูโล่งออก แต่นนท์รู้ว่าปัญหามันไม่ได้จบแค่นี้แน่ เขาไม่อยากให้คนอื่นตื่นผวา ต้นไม้บริเวณอื่นไม่มีต้นมอสขึ้นมาเกาะ แต่เวลาอาจช่วยให้เขาพอคิดทางรอดได้ มุมโต้มองตาเขาอย่างรู้ทัน คนดำในชุดพรางมีหรือจะไม่รู้ว่าการหลงป่าดงดิบแบบนี้ไม่มีทางออกไปได้ มุมโต้รู้และรู้ยิ่งกว่านั้น นักเดินป่ารู้ว่านนท์คิดอะไร และรู้จักที่จะเงียบ
ท่ามกลางหมู่มวลไม้ที่หนาทึบ เวลาเย็นแทบจะเหมือนกลางคืน ยากที่แสงตะวันจะสอดส่งถึงพวกเขาได้ ทีมสำรวจเดินทางต่อไป ตามหาต้นมอสที่ติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ในป่าดงดิบ ไม่นานการตามหามอสที่เกาะติดกับลำต้นไม้ก็สิ้นสุด มันไม่มีอีกแล้ว ต้นไม่บริเวณนี้ไม่มีมอสมาเกาะเลย พวกเขาเหมือนเดินมาถึงทางตัน "อาจารย์ครับ" วลีสั้นๆกับแววตาของเกรียงไกร มันสื่อความหมายที่มากมายมหาศาลยิ่งนัก นนท์รู้ว่าทุกอย่างจะต้องเป็นอย่างนี้ เพียงแต่มันเร็วเกินไป เร็วเกินว่าที่เขาจะพอหาทางออกอย่างอื่นได้ "ผมขอเสนอให้เราพักตรงนี้ ในคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยหาทางกันต่อ วันนี้ดึกมากแล้ว" ท่านศาสตราจารย์พูด ทุกคนต่างเห็นด้วยกับ นนท์ นาคะเกียรติ์ พวกเขาต่างดูใจเย็น นนท์รู้ว่าทำไมคนอื่นๆจึงใจเย็นได้ขนาดนั้น ทุกคนเชื่อในภาวะผู้นำของนักโบราณคดีที่คว่ำหวอดในวงการอย่างเขา เขาไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวัง

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ปริญญา - จุฬาลงกรณ์

จุฬาลงกรณ์
สถานที่ที่เราก้าวเดินเข้าหาเมื่อแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิต หาคุณค่าเพิ่มให้กับตัวเอง แสวงหาการยอมรับและวิชาอาชีพ

จุฬาลงกรณ์
สถานที่เราเดินจากไป ด้วยความว่างเปล่าที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆที่ต้องการในอดีต แต่เปี่ยมไปด้วยปณิธานเกียรติภูมิแห่งสถานที่นี้ ที่จะคืนสิ่งที่มีให้กับประชาชน


ยินมานานว่าถิ่นจามจุรีใหญ่
มหาลัยแห่งชีวิตคนนับแสน
ส่งนิสิตกระจัดจายกันทั่วแดน
ทุกแว่นแคว้นมีจุฬาฯบำรุงไทย


นั้นคือเรื่องได้ยินมาในวัยเด็ก
เมื่อยังเล็กก่อนเติบโตขึ้นเป็นใหญ่
พอถึงวันฉันจะเข้ามหาลัย
ก็ตั้งใจสอบสมัครเข้าจุฬาฯ

หวังการเรียนดันตนให้สำเร็จ
เป็นบำเหน็จชีวิตให้สูงค่า
เพื่อวันหนึ่งเป็นหนึ่งในธารา
มีทรัพย์สินสูงค่าอยู่รอบกาย

หวังได้เพื่อนสุดรักจากที่นี้
หวังเป็นที่ยอมรับขยับขยาย
ทุกวันพัฒนาตนจนวันตาย
เป็นเป้าหมายที่หวังไว้จากสี่ปี

---------------------------------------------------------------
จากวันนั้นมาวันนี้ที่ปรากฏ
จนหมดจดขวบค่าจุฬาฯมี
บ้างได้ตามสิ่งที่คาดหวังนี้
บ้างมิอาจจะได้มีอย่างตามใจ

แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รู้จากวันจบ
บัณฑิตพบสิ่งสูงจุฬาฯให้
จุฬาฯมอบปนิธานต่อดวงใจ
กับเราไว้ทุกทุกคนโดยทั่วกัน

จุฬาฯบอกให้ท่านรักษาชาติ
บำรุงราษฏร์ศาสนาให้สุขสันต์
ยืนหยัดตนเป็นคนดีชั่วนานวัน
ตัวเธอฉันชาวชมพูต่างเข้าใจ

เกียรติภูมิสูงค่าจุฬาฯบอก
เหมือนก้อนหมอกคู่ภูผาศิลาใหญ่
จะเคียงหยัดยั้งคู่เราตลอดไป
จบแล้วไซร้จงหมั่นทำดั่งปณิธาน

โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
อาจเป็นเพียงกระดาษาประดับบ้าน
หากทอดทิ้งความหวังปณิธาน
ผ่านสถานชื่อจุฬาฯไร้ค่าจำ

โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
อาจเป็นเพียงกระดาษาที่มือกำ
หากไม่พากไม่เพียรไม่หมั่นทำ
เสริมสร้างคุณธรรมประดับไทย

โอ้ว่าใบปริญญาที่สูงค่า
จะสง่าเกินกว่าจะหาไหน
หากดำรงคงปณิธานประจำใจ
กอบแผ่นดินกู้ไทยให้ดำรง

ประเทศชาติแดนไทยในยามนี้
มีไพรีรอบชาติต่างประสงค์
จะทำลายล้างไทยให้ปลดปลง
แล้วไทยจะดำรงได้อย่างไร

ประเทศไทยในแดนในแคว้นชาติ
ก็มาขาดสามัคคีเป็นการใหญ่
ต่างทะเลาะเหวาะแว้งระแวงใจ
แล้วชาติไทยจะดำรงคงได้หรือ

ณ วันนี้ชาวจุฬาฯจะปรากฏ
จะไม่หดหนีหายมลายชื่อ
จะสร้างชาติชูเกียรติไทยให้ระบือ
จะยึดถือปณิธานสานประชา


เราอาจจะได้อะไรมาต่างกัน เพราะจุฬาฯมีอะไรให้เราหลากหลาย แล้วแต่จะแสวงหา
เราอาจจะได้อะไรมาไม่เท่ากัน แล้วแต่เวลาและโอกาสที่เรามี
แต่สิ่งหนึ่งแห่งความเป็นจุฬาฯที่บอกได้ คือเราต่างมีปณิธานที่เท่ากัน
“เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน”

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

วีรชน? - The Brave Man?

แสงแดดสาดส่องสะท้าน แลเห็นแขนและขาอันบึกบึนของเขา เหล่าผู้คนเดินผ่านขวั่กไขว่ไปมา แทบทุกคนมุ่งมาที่เขา ถ่ายรูป และจากไป โดยไม่มีการร่ำลา พวกนั้นดูจะไม่รู้เลยว่ากำลังถ่ายรูปกับใครอยู่ อาจจะเห็นเพียงความใหญ่ และสง่าของเขา ก็เป็นได้ มือขวานั้นกำกระบอกปืนแน่น สายตาคู่นั้นไม่เคยเปลี่ยนทิศทางมาอย่างยาวนาน มันยังคงส่องกราดไปยังตัวเมืองดุจว่าเขาจะปกป้องเมืองนี้ตราบชั่วชีวิต หรือแม้จะไร้ซึ่งชีวิตไปแล้ว ไม่มีรอยยิ้มจากเขา ไม่มีการขยับตัว รูปปั้นนั่นแข็งแกร่งประหนึ่งภูผาที่ไม่สะท้านแรงลมใดๆ

เสียงปืนกลกราดดังวิวาทไปทั่ว เมืองที่ผู้คนเคยอยู่อาศัยอย่างมีความสุขตอนนี้กลายเป็นแผ่นดินเพลิง
เขายืนอยู่ที่นั่น
ณ ซอกตึกในเมืองใหญ่
ณ แผ่นดินที่เขาเกิด
ณ แผ่นดินที่เขารัก
ฟันของเขานั้นขบกันแน่น ร.อ. ชาติ บุลวัตร รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว แต่เขายังคงนิ่งและเงียบ การส่งเสียงเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ชีวิตเขาสิ้นสุดได้ เขามีงานสำคัญที่จะต้องทำ เขาจะตายไม่ได้ มือกำซองเอกสารนั่นไว้ ถ้าพวกนั้นเห็นมัน เขาอาจจะต้องตาย
สุนัขดมกลิ่นพันธุ์เยอรมันเชฟเพิต เหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
"หมาได้กลิ่นแล้ว พวกเรา เข้าไปในอาคารนั้น เตรียมอาวุธให้พร้อม มันต้องอยู่ในนั้นแน่"
ชาติ บุลวัตร คลายฟันที่ขบกันอยู่ด้วยความเครียด เขารู้ว่าหมาตัวนั้นคงจะได้กลิ่นรองเท้าและเสื้อผ้าที่เขาถอดเปลี่ยนไว้ในตึก ปากนั่นยิ้ม สายตาสอดส่องไปยังภายนอกตรงถนนใหญ่ กองทหารหายไปหมดแล้ว
ร่างนั้นขยับออกจากซอกมุมตึก แล้วอำพรางตัวเดินไปอย่างช้าๆ ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เวลานั้นมืดแล้ว เขามั่นใจว่าถ้าออกไปจากบริเวณนี้ ทหารฝ่ายรัฐบาลหน่วยอื่นคงจะไม่รู้แน่ว่าเขาเป็นใคร พวกนั้นคงจะคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน เสื้อทหารฝ่ายรัฐบาลที่เขาใส่ดูพอเหมาะพอเจาะ เขาเพิ่งเปลี่ยนมันกับศพของนายทหารฝ่ายนั้นคนหนึ่งที่นอนตายอยู่ในอาคาร



เท้ายังคงย่ำเดินออกไปให้ห่างจากบริเวณนั้น พลันเสียงหนึ่งก็ทำให้ ชาติ บุลวัตร ต้องหยุดนิ่ง
"หยุด!! ท่านอยู่หน่วยไหนโปรดแสดงตัว" นายทหารร่างใหญ่ชี้ปืนส่องมาตรงหน้าเขา
"ผมอยู่หน่วยลาดตระเวร กำลังจะนำเอกสารไปส่งแม่ทัพ"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงไม่สั่นไหว มือขวาชูซองเอกสารให้นายทหารคนนั้นเห็น
"ขอให้ท่านแสดงบัตรประจำตัวทหารด้วย ขณะนี้เป็นช่วงสงคราม คงจะไว้ใจใครไม่ได้ อาจจะมีการปลอมตัวมา"
"อือ ผมเข้าใจ" ผู้ปลอมแปลงตัวตอบ พร้อมยื่นบัตรประจำตัวทหารให้ทหารตัวจริงดู
"ผมคือ พ.ท. กิติศักดิ์ พนาศรไกร ตอนนี้คุณคงเชื่อผมแล้ว" ชาติ พูดย้ำ
ทหารคนนั้นตรวจดูบัตรประจำตัว
"ครับท่าน ขออภัยที่ต้องรบกวนท่านครับ" น้ำเสียงนั่นเริ่มสั่น เมื่อเห็นบัตรนายทหารใหญ่
"อือ ผมเข้าใจ ไม่เป็นไร คุณทำหน้าที่ได้ดีแล้ว คุณชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน?"
"ผม ร.อ. พิชัย รอดดี หัวหน้าหน่วยรบ 109 ครับ มีเป้าหมายโจมตีพวกขบถหากก้าวข้ามมาบริเวณนี้ครับ" ร่างนั้นตอบอย่างเข้มแข็ง
"ดีมาก ทำงานต่อไป" ชาติ พูดประหนึ่งเป็นทหารฝ่ายเดียวกัน
ร.อ.ชาติ บุลวัตรเดินผ่านไป เข้าผ่านเขตรักษาความปลอดภัยนั่นไป เขาจะต้องนำเอกสารนี้ไปให้แก่นายของเขา เพื่อก่อรัฐประหาร เกือบไปเหมือนกัน หลังจากกองทัพของเขาบุกขึ้นไปบนตึกที่เก็บเอกสารนั่น ฝ่ายรัฐบาลกลับรู้ทันมาล้อมไว้ โชคยังเข้าข้างที่เขาฝึกวิชาสายลับมา ทำให้รอดตายและได้ข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมา

สายตานั้นยังคงมองไปทางที่ คนที่อ้างตัวเป็น พ.ท. กิตติศักดิ์ พนาศรไกร จากไป เท้านั่นจ้ำตามอย่างแนบเนียน ร.อ.พิชัย รอดดี สะกดรอยตาม ร.อ.ชาติ บุลวัตร อย่างไม่ให้รู้ตัว
"นายครับ มันกำลังเดินไปแล้วครับ" ผู้สะกดรอยสื่อสารวิทยุกับนายของเขา
"ดีมาก ตามมันไป อย่าให้คลาดสายตา"

เท้าคู่นั้นจ้ำมาถึงหน้าอาคารหลังหนึ่งในมุมหนึ่งของเมืองหลวง มันเป็นอาคารที่เก่าใกล้ผุพังแล้ว สภาพอาคารเช่นนี้ไม่เป็นที่สังเกตใดๆเลยสำหรับเฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลซึ่งบินผ่านไปมา เช่นเดียวกัน ชาติ บุลวัตร ในชุดทหารรัฐบาลก็ไม่เป็นที่สังเกตอันใดเลย
"ท่านคือใคร" เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อชาติ เดินเข้าไปใกล้
"เราคือผู้ก่อรัฐประหาร" ชาติตอบ เท้าคู่นั้นเดินย่ำเข้าไปในตัวอาคาร
พิชัย รอดดี อยู่ใกล้บริเวณนั้น เขาได้ยินรหัสลับนั่นแล้ว มือขวาข้างถนัดกำแน่น นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่แล้ว เงินเดือนทหารเดือนละไม่กี่พันยังไม่พอยาไส้เขาและลูกเมีย ข้างหน้านี้คือจุดเปลี่ยนของชีวิต
พิชัยเดินไปห่างจาก ชาติ บุลวัตร เล็กน้อย
"ท่านคือใคร" เสียงเดียวกับที่ถามชาติ บุลวัตร เอ่ยปากถามอีกครั้งหนึ่ง
ร.อ. พิชัย รอดดี กุมมือที่สั่นไว้แน่น นี่เป็นงานที่น่ากลัวเหลือเกิน ถ้าพูดผิดแม้แต่นิดเดียว หรือแสดงอาการผวา เขาอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่ก็ได้
"เราคือผู้ก่อรัฐประหาร"
ผู้สะกดรอยเดินตามเข้าไปในตึกหลังเก่านั่น

เบื้องหน้าของชาติ บุลวัตร คือ พล.อ. ขจร รุจวงศ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติที่กำลังเตรียมแผนก่อรัฐประหาร แต่ไม่ค่อยจะสำเร็จนักเพราะโดนฝ่ายรัฐบาลรู้ทันแผนการของเขาหลายต่อหลายครั้ง
"ได้ข้อมูลอะไรมาใหม่บ้าง" หัวหน้าใหญ่ปากคาบซิกการ์คิวบาชั้นดีเอ่ยถาม
"นี่เป็นข้อมูลใหม่ของฝ่ายรัฐบาล ผมทำการถ่ายเอกสารมา ฝ่ายรัฐบาลยังไม่รู้เลยว่าเราได้ข้อมูลนี้มาแล้ว พวกนั้นคงพบเอกสารในสภาพดี และโล่งอก"
"ดี ยังมืออาชีพเหมือนเดิม แล้วมีข่าวอะไรในนั้นบ้างล่ะ" ผู้รัฐประหารเอ่ยปากถามอีกครั้ง
พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีการขยับตัวของบางอย่าง
"นั่นใคร!! มึงออกมาเดี๋ยวนี้" ชาติ บุลวัตร ตะโกนก้องด้วยเสียงอันดัง คว้าปืนที่มีอยู่ในบริเวณนั้นหันไปยังต้นตอของเสียง
"ออกมา!!" ชาติตะเบ็งเสียงย้ำอีกครั้ง
ร่างนั้นเดินออกมา
พิชัย รอดดี เดินออกมา
ชาติ จำคนคนนี้ได้ มันคือทหารคนที่เรียกดูบัตรประจำตัวของเขา

"มึงวางปืนลง ไอ้ชาติ" เสียงนายดังขึ้น
ชาติหันไปด้านหลัง ขจร รุจวงศ์ กำลังส่องปืนมาที่เขา
ร.อ. ชาติ บุลวัตร เหงื่อไหลนองหน้าของเขา นี่มันเกิดอะไรขึ้น มือขวาของเขาทิ้งปืนลงกับพื้น
"มึงเป็นสายลับของรัฐบาล!!" พิชัยตะเบงเสียงใส่เขาเป็นครั้งแรก
"มึงกล้าดียังไงมาพูดกับกูแบบนี้ มึงเป็นใคร"
"กูเป็นสายของคณะปฏิวัติ สะกดรอยตามดูมึงหักหลังพวกเรามานานแล้ว เอกสารนั่นเป็นเอกสารที่รัฐบาลเอาให้มึง มันเป็นเอกสารการออกรบซึ่งเป็นเรื่องเท็จ มึงต้องการล่อให้เราหลงเข้าไปในกับดักของฝ่ายมึง"
"มึงพูดอะไรของมึง"
"กูรู้ละกัน กูเป็นคนจัดเอกสารนั้นตามคำสั่งของรัฐบาลให้เอง กูเลยต้องตามมึงเข้ามาถึงในนี้ เพื่อฝังศพมึง"
"ไอ้ชาติ กูผิดหวังในตัวมึงมาก พิชัย อยู่กับกูมานาน กูส่งมันไปเป็นสายลับในฝ่ายรัฐบาล มันไม่ทำให้กูผิดหวังเลย พิชัย!! ยิงคนทรยศซะ"
ปืนนั้นลั่นโดยปราศจากเสียงเนื่องจากใช้อุปกรณ์เก็บเสียง ร่างของ พล.อ. ขจร รุจวงศ์ นอนพับลงในทันที ผู้ก่อการรัฐประหารตายแล้ว
ชาติ บุลวัตร ตัวสั่น เขาสับสนไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ตัวว่าควรจะเงียบ
สายตานั่นส่องกราดไปทั่ว ก่อนที่ปากของพิชัย รอดดีจะเอ่ยขึ้น
"ตอนนี้เรายังออกไปได้ ฝ่ายกบฏยังไม่รู้ว่าเราฆ่าเขาแล้ว"
ทั้งสองรีบหนีออกไป พิชัย รอดดี วอเรียกทหารฝ่ายรัฐบาลเข้ามาจัดการที่มั่นของฝ่ายกบฏ

เสียงนกบินผ่านไป ตะวันยังคงเวียนในทิศทางเดิม ฟ้าใสสว่างเหมือนดังที่มันเคยเป็น ไม่มีสัญญาณใดๆเลยที่แสดงว่าบ้านเมืองเพิ่งจะผ่านวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่มา
ร.อ. พิชัย รอดดี ได้รับเหรียญกล้าหาญจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นักข่าวมากมายติดตามเขา สังคมยกย่องเขาเป็นวีรชน เป็นปูชนียบุคคลของชาติอย่างแท้จริง พิชัยยิ้มย่องในใจ เค้าตัดสินใจไม่ผิดที่ยิงนายของตัวเอง พิชัยได้รับการสรรเสริญ เมื่อตายไป ศิลปินสาขางานปั้นที่มีชื่อเสียงของประเทศต่างช่วยกันปั้นอนุสาวรีย์ให้แก่เค้า แด่วีรชน

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ที่พึ่ง - The Dependent Life

เพดานห้องสีเทาอ่อนๆซึ่งถ้าดูก็จะรู้ว่าเคยเป็นสีขาวเมื่อนานมาแล้ว ห้องเล็กๆโทรมๆบนพื้นมีขวดเหล้าเปล่าอยู่ 3 ขวด ม่านขาดๆริมหน้าต่างปล่อยให้แสงสุริยารอดผ่านเข้ามาให้ห้อง

เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ เสียงนกร้องกับแสงตะวันต้องประสาทสัมผัสของเขา ธรรมชาติตอนเช้าที่กวีมากมายเคยพรรณนาไว้ถึงความงดงามของมัน พ่อของเขาเคยสอนเขาไว้ว่าตอนเช้าคือเวลาที่สดใสและมีค่า คนตื่นเช้าเป็นคนที่ได้เปรียบ เหมือนได้รับพรจากธรรมชาติ เหมือนมีเวลาชีวิตมากขึ้น และจะประสบความสำเร็จ
พ่อของเขายึดถือคำพูดนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆคำสอนของพ่อไว้ตลอด ท่านประสบความสำเร็จ มีเงินทองมากมาย เป็นนายห้างที่ทุกคนเคารพ ท่านลาโลกไปเมื่อปีที่แล้ว ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป เขาคิดถึงพ่อ ชีวิตเขามีพ่อเพียงคนเดียว

นทีกับใบหน้าที่แสนอิดโรยแสดงถึงความกร้านและเบื่อโลกใบนี้ เขานึกถึงคำพูดของพ่อเมื่อแสงตะวันแยงตา ปากนั้นบ่มพึมพำ
"กูไม่เห็นว่ามันสดใสอีกแล้ว กูเคยคิด แต่ก็เลิกคิดไปแล้ว"
หนุ่มใหญ่หน้าตาโทรมเอื้อมมือหยิบปฏิทินที่หัวเตียง ใช่ วันนี้เป็นวันครบรอบที่พ่อของเขาเสียไป มือกุมปฏิทินนั่นไว้ เขาคิดถึงพ่อ
…….
เสียงดังโครมพร้อมเสียงกรีดร้อง เด็กน้อยล้มลงจากจักรยาน ร้องไห้ฟูมฟายเป็นอันมาก บนหัวเข่าของเด็กน้อยนทีถลอกเป็นแนวยาว เลือดไหลซิบๆ พ่อวิ่งมาพยุงนทีให้ลุกขึ้น พาเข้าบ้านแล้วเช็ดแผลให้ น้ำตาเด็กน้อยนองหน้าเนื่องจากความแสบของแผล ซักพักความเจ็บก็บรรเทา แผลถูกปิด ผู้เป็นพ่อไม่ได้พูดอะไรเลยขณะทำแผล นทีไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของพ่อ พ่อจะว่าหรือไม่ที่เขาขับจักรยานล้ม ทั้งๆที่พ่อยังสอนเขาขี่จักรยานอยู่เลย พ่ออาจจะว่าที่เขาแอบเอามาขี่คนเดียว
ปริศนาคลี่คลายเมื่อแผลถูกพลาสเตอร์ปิดสนิท
"พ่อดีใจที่เห็นลูกพยายามด้วยตัวเอง ลูกต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง บาดแผลจะทำให้ลูกแข็งแกร่ง"
ผู้เป็นพ่อลูบหัวเข่าเด็กน้อยอย่างนุ่มนวล
นทีโผลกอดพ่อด้วยน้ำตา
เขาเพิ่งเสียแม่ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเคยไม่เห็นน้ำตาของพ่อซักหยด พ่ออาจจะแอบร้องไห้ แต่เขาไม่เคยเห็น ในสายตาเขา พ่อเข้มแข็งมาก พ่อทำงานหนักขึ้นหลังจากที่เพิ่งเปิดร้านขายของชำได้ใหม่ๆ งานบ้านด้วย เขาไม่มีพี่น้อง พ่อตื่นนอนแต่เช้ามืดทำอาหารเช้าให้เขากิน แล้วพาไปโรงเรียน นทีน้อยช่วยพ่อล้างจาน และถูพื้นนิดหน่อยตามวิสัยที่เด็กอย่างเขาจะพอช่วยได้ พ่อไม่เคยบ่น คงเป็นเพราะพ่อหรืออาจจะรวมถึงความเป็นเด็กของเขาด้วยก็ได้ ความรู้สึกว้าเหว่ตั้งแต่ช่วงที่ขาดแม่ไปหายไปในไม่นาน เช้าของนทีช่างสดใส เขาตื่นนอนตอนเช้าอย่างมีความสุข

………
มือนั้นถือแผ่นพับที่ซ่อนแผ่นกระดาษแข็งไว้ภายใน เสื้อครุยโปร่งใสยาวลงมาจรดกลางแข้ง วันนี้เป็นวันที่นทีรับปริญญา เพื่อนฝูงในคณะมีญาติพี่น้องมากมายมาห้อมล้อม
ท่ามกลางหมู่คนที่พลุกพล่าน พ่อของเขาก็เดินเข้ามาหา พ่อไม่เคยผิดนัดเขาเหมือนที่พ่อไม่เคยผิดนัดกับทุกๆคน พ่อสวมกอดเขาด้วยความดีใจ พ่อเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากหยาดเหงื่อของตัวเอง พ่อทำงานหนักกว่าจะตั้งห้างของตัวเองได้ พ่อทำงานทุกวันไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ เขารู้ วันนี้พ่อทิ้งงานเพื่อมาหาเขา
"พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก" พ่อกล่าว
วันแห่งความสุขที่ไม่ต้องการใครเลย นอกจากคนต่างวัยสองคน…

นทีได้ทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุน สถาบันการเงินแห่งนี้ให้เงินทองแก่เขามากมาย รวมถึงโอกาสในการเจริญก้าวหน้าบนเส้นทางนี้ยังมีอีกมาก เขาก้าวหน้าเร็วกว่าเพื่อนหลายๆคนที่จบจากโรงเรียน หรือคณะเดียวกัน ถึงยังแพ้บางคน แต่โอกาสในการเจริญเติบโตทางการงานของเขาก็ไม่แพ้ใคร
แต่เมื่อเขานึกถึงอนาคตของเขาแล้ว เขาต้องการความก้าวหน้าในฐานะนายของตัวเอง ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างใคร เขาตัดสินใจร่วมทุนกับเพื่อนเก่าเพื่อเอาเงินมาเล่นหุ้นเพื่อหลุดจากพันธนาการการเป็นลูกจ้าง ไม่มีใครที่เขารู้จักเห็นด้วยกับเขา นอกจากพ่อของเขา
พ่อบอกเขาว่า "ชื่อของลูก นทีคือน้ำ ลูกต้องไหลไปข้างหน้า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน ต้องมั่นใจ แล้วลูกจะสำเร็จ"
พ่อเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยม และเป็นกำลังใจเสมอมา ถึงแม้เขาไม่เลือกที่จะทำงานกับพ่อ เพราะเขาอยากประสบความสำเร็จด้วยลำแข้งตัวเอง แต่พ่อก็เห็นด้วย คำพูดของพ่อที่สนับสนุน ท่ามกลางคำคัดค้านของทุกๆคน นทีมีความสุข เขาไม่ต้องการใครแล้ว พ่อยังอยู่ข้างเขา พ่อคนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นเช้าของนทีช่างสดใสเฉกเช่นคำของกวี

หนุ่มนักลงทุนวัยแค่ 30 นทีประสบความสำเร็จมากมาย เขาสร้างเงินทองได้มหาศาลจากมันสมองของเขาและพรรคพวก ญาติสนิทมิตรสหายกลับมาหาเขาอย่างมากมาย
วันพ่อปีนั้นนทีก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อ ถ้าไม่มีพ่อเป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำมาโดยตลอด ไม่มีวันที่เขาจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
เขาขับรถสปอร์ตเปิดประทุนคันโก้ แต่งงานกับสุภาแฟนเก่าของเขา ที่เคยทิ้งเขาไป นทีรู้สึกเหมือนตัวเองคือผู้ชนะ ซึ่งก็ถูก ทุกๆคนคิดว่าเขาคือผู้ชนะ ความสำเร็จ ความมั่นใจ เช้าที่ยังคงสดใส

จนกระทั่ง…

เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 2540 ตลาดหุ้นล่ม นทีผู้ประสบความสำเร็จสูญเสียเงินไปมากมาย ไม่ใช่แค่เงินของเขาและพรรคพวก แต่รวมถึงเงินของคนอีกมากมายที่ทำสัญญาให้เขาลงทุนให้ นทีอยู่ในสถานภาพล้มละลาย ญาติมิตรหนีหาย เพื่อนของเขาที่ร่วมลงทุนด้วยกันหนีกันไปหมด บางคนหนีหลบคดีอยู่ต่างจังหวัด บางคนอยู่ต่างประเทศ นทีขายสมบัติทุกอย่างของเขาชดใช้เงินตามสัญญา สุภาเลิกกับเขาและเอาลูกไปด้วย เขาเหมือนจะหมดสิ้นทุกสิ่ง
แต่ยังไม่หมดสิ้น
เขายังมีพ่อ พ่อผู้เคยร่ำรวย แต่ตอนนี้ขายกิจการของท่านเอาเงินมาใช้หนี้ให้แก่ลูกชาย
พ่อไม่พูดอะไรเลย พ่อไม่ว่าเขาซักคำ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด เขาขอโทษพ่อ พ่อเพียงกล่าวกับเขาว่า
"ไม่เป็นไรลูก เราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน"
ยิ่งพ่อพูด เขายิ่งรักพ่อ

สองพ่อลูกต้องย้ายออกไปอยู่บ้านเล็กๆนอกเมือง นทีเริ่มค้าขายเล็กๆน้อยๆ ทำสวนผลไม้เล็กๆพอหากินได้ พ่อเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ ให้เขาเดินหน้าได้ จนกระทั่ง…

ปีที่แล้ว

โรคร้ายเข้ามารุมเร้าพ่อ
พ่อเป็นมะเร็ง
แล้วพ่อก็จากไป
นทีรู้สึกเหมือนกับว่าหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง นึกย้อนถึงครอบครัวของเขาเหลือกันแค่สองคน ญาติพี่น้องคนอื่นต่างแยกย้ายไปหมด สุภากับลูกก็ทิ้งเขาไป เพื่อนสนิทมิตรสหายก็ไม่มีใครแล้ว นทีรู้สึกหมดสิ้น เค้าเคยประสบความสำเร็จมากมาย พ่อคือเบื้องหลัง เหมือนเวทีให้นักแสดงอย่างเขา ถ้าเวทีพังไปแล้ว การแสดงไหนเลยจะสามารถเล่นได้
เขาขายทรัพย์สินทุกอย่างจนหมดสิ้นได้เงินมาก้อนหนึ่ง นทีเก็บตัวเงียบอยู่ในแฟลตโทรมๆ เขาไม่ทำอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาท้อแท้ เขาเกลียดเมื่อถึงวันใหม่ เขาเกลียดผู้คนที่ไม่จริงใจ และสำหรับเขา ไม่มีใครจริงใจ นอกจากพ่อ พ่อซึ่งทิ้งเขาไป คงไม่มีเช้าไหนที่จะสดใสสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

วันนี้

นทีลืมตาตื่นอีกทีในตอนสาย ร่างที่ประหนึ่งไร้วิญญาณลุกขึ้นมาจากเตียง เขาไม่รู้วันเวลา นาฬิกาบนหัวนอนของเขาสงบนิ่งมานานแล้ว
เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้เก่าๆตัวหนึ่ง เปิดลิ้นชักโต๊ะของเขา
มันเป็นรูปของพ่อและเขา มันเป็นสิ่งที่พ่อมอบให้เขาตอนที่เขากำลังสับสนตอนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ
เขาอ่านข้อความข้างหลังรูป เหมือนประโยคที่พ่อเคยพูด เขาน้ำตาไหล
"มันอยู่ในลิ้นชักนี้มานานแสนนาน กูไม่เคยหยิบมันขึ้นมาอ่านเลย"
นทีล้างหน้าล้างตาจนสะอาด มองตัวเองในกระจก
"กูยังหนุ่ม ยังมีความสามารถ กูต้องมั่นใจ กูเชื่อพ่อกู"
แต่งตัวใส่เชิ้ตเก่าๆที่พ่อเคยใส่และเขายังเก็บไว้อยู่ เขากำลังจะก้าวออกไปจากห้องพัก วันนี้เขาจะซื้อของไปทำบุญให้พ่อ แล้วไปสมัครงาน นทีวางรูปนั้นคว่ำหน้าไว้บนโต๊ะ เห็นเป็นลายมือของพ่ออย่างชัดเจน
"พ่อดีใจที่เห็นลูกพยายามด้วยตัวเอง ลูกต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง บาดแผลจะทำให้ลูกแข็งแกร่ง"
นทีลูบหัวเข่าที่มีแผลเป็นจากจักรยานล้มอย่างนุ่มนวล ก้าวออกไปจากห้องนั้นเพื่อรับพรจากธรรมชาติ ถึงตอนนี้จะสายไปหน่อยก็เถอะ
-จบ-ที่พึ่ง
เพดานห้องสีเทาอ่อนๆซึ่งถ้าดูก็จะรู้ว่าเคยเป็นสีขาวเมื่อนานมาแล้ว ห้องเล็กๆโทรมๆบนพื้นมีขวดเหล้าเปล่าอยู่ 3 ขวด ม่านขาดๆริมหน้าต่างปล่อยให้แสงสุริยารอดผ่านเข้ามาให้ห้อง
เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ เสียงนกร้องกับแสงตะวันต้องประสาทสัมผัสของเขา ธรรมชาติตอนเช้าที่กวีมากมายเคยพรรณนาไว้ถึงความงดงามของมัน พ่อของเขาเคยสอนเขาไว้ว่าตอนเช้าคือเวลาที่สดใสและมีค่า คนตื่นเช้าเป็นคนที่ได้เปรียบ เหมือนได้รับพรจากธรรมชาติ เหมือนมีเวลาชีวิตมากขึ้น และจะประสบความสำเร็จ
พ่อของเขายึดถือคำพูดนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆคำสอนของพ่อไว้ตลอด ท่านประสบความสำเร็จ มีเงินทองมากมาย เป็นนายห้างที่ทุกคนเคารพ ท่านลาโลกไปเมื่อปีที่แล้ว ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป เขาคิดถึงพ่อ ชีวิตเขามีพ่อเพียงคนเดียว

นทีกับใบหน้าที่แสนอิดโรยแสดงถึงความกร้านและเบื่อโลกใบนี้ เขานึกถึงคำพูดของพ่อเมื่อแสงตะวันแยงตา ปากนั้นบ่มพึมพำ
"กูไม่เห็นว่ามันสดใสอีกแล้ว กูเคยคิด แต่ก็เลิกคิดไปแล้ว"
หนุ่มใหญ่หน้าตาโทรมเอื้อมมือหยิบปฏิทินที่หัวเตียง ใช่ วันนี้เป็นวันครบรอบที่พ่อของเขาเสียไป มือกุมปฏิทินนั่นไว้ เขาคิดถึงพ่อ
…….
เสียงดังโครมพร้อมเสียงกรีดร้อง เด็กน้อยล้มลงจากจักรยาน ร้องไห้ฟูมฟายเป็นอันมาก บนหัวเข่าของเด็กน้อยนทีถลอกเป็นแนวยาว เลือดไหลซิบๆ พ่อวิ่งมาพยุงนทีให้ลุกขึ้น พาเข้าบ้านแล้วเช็ดแผลให้ น้ำตาเด็กน้อยนองหน้าเนื่องจากความแสบของแผล ซักพักความเจ็บก็บรรเทา แผลถูกปิด ผู้เป็นพ่อไม่ได้พูดอะไรเลยขณะทำแผล นทีไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของพ่อ พ่อจะว่าหรือไม่ที่เขาขับจักรยานล้ม ทั้งๆที่พ่อยังสอนเขาขี่จักรยานอยู่เลย พ่ออาจจะว่าที่เขาแอบเอามาขี่คนเดียว
ปริศนาคลี่คลายเมื่อแผลถูกพลาสเตอร์ปิดสนิท
"พ่อดีใจที่เห็นลูกพยายามด้วยตัวเอง ลูกต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง บาดแผลจะทำให้ลูกแข็งแกร่ง"
ผู้เป็นพ่อลูบหัวเข่าเด็กน้อยอย่างนุ่มนวล
นทีโผลกอดพ่อด้วยน้ำตา
เขาเพิ่งเสียแม่ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเคยไม่เห็นน้ำตาของพ่อซักหยด พ่ออาจจะแอบร้องไห้ แต่เขาไม่เคยเห็น ในสายตาเขา พ่อเข้มแข็งมาก พ่อทำงานหนักขึ้นหลังจากที่เพิ่งเปิดร้านขายของชำได้ใหม่ๆ งานบ้านด้วย เขาไม่มีพี่น้อง พ่อตื่นนอนแต่เช้ามืดทำอาหารเช้าให้เขากิน แล้วพาไปโรงเรียน นทีน้อยช่วยพ่อล้างจาน และถูพื้นนิดหน่อยตามวิสัยที่เด็กอย่างเขาจะพอช่วยได้ พ่อไม่เคยบ่น คงเป็นเพราะพ่อหรืออาจจะรวมถึงความเป็นเด็กของเขาด้วยก็ได้ ความรู้สึกว้าเหว่ตั้งแต่ช่วงที่ขาดแม่ไปหายไปในไม่นาน เช้าของนทีช่างสดใส เขาตื่นนอนตอนเช้าอย่างมีความสุข

………
มือนั้นถือแผ่นพับที่ซ่อนแผ่นกระดาษแข็งไว้ภายใน เสื้อครุยโปร่งใสยาวลงมาจรดกลางแข้ง วันนี้เป็นวันที่นทีรับปริญญา เพื่อนฝูงในคณะมีญาติพี่น้องมากมายมาห้อมล้อม
ท่ามกลางหมู่คนที่พลุกพล่าน พ่อของเขาก็เดินเข้ามาหา พ่อไม่เคยผิดนัดเขาเหมือนที่พ่อไม่เคยผิดนัดกับทุกๆคน พ่อสวมกอดเขาด้วยความดีใจ พ่อเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากหยาดเหงื่อของตัวเอง พ่อทำงานหนักกว่าจะตั้งห้างของตัวเองได้ พ่อทำงานทุกวันไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ เขารู้ วันนี้พ่อทิ้งงานเพื่อมาหาเขา
"พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก" พ่อกล่าว
วันแห่งความสุขที่ไม่ต้องการใครเลย นอกจากคนต่างวัยสองคน…

นทีได้ทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุน สถาบันการเงินแห่งนี้ให้เงินทองแก่เขามากมาย รวมถึงโอกาสในการเจริญก้าวหน้าบนเส้นทางนี้ยังมีอีกมาก เขาก้าวหน้าเร็วกว่าเพื่อนหลายๆคนที่จบจากโรงเรียน หรือคณะเดียวกัน ถึงยังแพ้บางคน แต่โอกาสในการเจริญเติบโตทางการงานของเขาก็ไม่แพ้ใคร
แต่เมื่อเขานึกถึงอนาคตของเขาแล้ว เขาต้องการความก้าวหน้าในฐานะนายของตัวเอง ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างใคร เขาตัดสินใจร่วมทุนกับเพื่อนเก่าเพื่อเอาเงินมาเล่นหุ้นเพื่อหลุดจากพันธนาการการเป็นลูกจ้าง ไม่มีใครที่เขารู้จักเห็นด้วยกับเขา นอกจากพ่อของเขา
พ่อบอกเขาว่า "ชื่อของลูก นทีคือน้ำ ลูกต้องไหลไปข้างหน้า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน ต้องมั่นใจ แล้วลูกจะสำเร็จ"
พ่อเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยม และเป็นกำลังใจเสมอมา ถึงแม้เขาไม่เลือกที่จะทำงานกับพ่อ เพราะเขาอยากประสบความสำเร็จด้วยลำแข้งตัวเอง แต่พ่อก็เห็นด้วย คำพูดของพ่อที่สนับสนุน ท่ามกลางคำคัดค้านของทุกๆคน นทีมีความสุข เขาไม่ต้องการใครแล้ว พ่อยังอยู่ข้างเขา พ่อคนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นเช้าของนทีช่างสดใสเฉกเช่นคำของกวี

หนุ่มนักลงทุนวัยแค่ 30 นทีประสบความสำเร็จมากมาย เขาสร้างเงินทองได้มหาศาลจากมันสมองของเขาและพรรคพวก ญาติสนิทมิตรสหายกลับมาหาเขาอย่างมากมาย
วันพ่อปีนั้นนทีก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อ ถ้าไม่มีพ่อเป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำมาโดยตลอด ไม่มีวันที่เขาจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
เขาขับรถสปอร์ตเปิดประทุนคันโก้ แต่งงานกับสุภาแฟนเก่าของเขา ที่เคยทิ้งเขาไป นทีรู้สึกเหมือนตัวเองคือผู้ชนะ ซึ่งก็ถูก ทุกๆคนคิดว่าเขาคือผู้ชนะ ความสำเร็จ ความมั่นใจ เช้าที่ยังคงสดใส

จนกระทั่ง…

เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 2540 ตลาดหุ้นล่ม นทีผู้ประสบความสำเร็จสูญเสียเงินไปมากมาย ไม่ใช่แค่เงินของเขาและพรรคพวก แต่รวมถึงเงินของคนอีกมากมายที่ทำสัญญาให้เขาลงทุนให้ นทีอยู่ในสถานภาพล้มละลาย ญาติมิตรหนีหาย เพื่อนของเขาที่ร่วมลงทุนด้วยกันหนีกันไปหมด บางคนหนีหลบคดีอยู่ต่างจังหวัด บางคนอยู่ต่างประเทศ นทีขายสมบัติทุกอย่างของเขาชดใช้เงินตามสัญญา สุภาเลิกกับเขาและเอาลูกไปด้วย เขาเหมือนจะหมดสิ้นทุกสิ่ง
แต่ยังไม่หมดสิ้น
เขายังมีพ่อ พ่อผู้เคยร่ำรวย แต่ตอนนี้ขายกิจการของท่านเอาเงินมาใช้หนี้ให้แก่ลูกชาย
พ่อไม่พูดอะไรเลย พ่อไม่ว่าเขาซักคำ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด เขาขอโทษพ่อ พ่อเพียงกล่าวกับเขาว่า
"ไม่เป็นไรลูก เราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน"
ยิ่งพ่อพูด เขายิ่งรักพ่อ

สองพ่อลูกต้องย้ายออกไปอยู่บ้านเล็กๆนอกเมือง นทีเริ่มค้าขายเล็กๆน้อยๆ ทำสวนผลไม้เล็กๆพอหากินได้ พ่อเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ ให้เขาเดินหน้าได้ จนกระทั่ง…

ปีที่แล้ว

โรคร้ายเข้ามารุมเร้าพ่อ
พ่อเป็นมะเร็ง
แล้วพ่อก็จากไป
นทีรู้สึกเหมือนกับว่าหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง นึกย้อนถึงครอบครัวของเขาเหลือกันแค่สองคน ญาติพี่น้องคนอื่นต่างแยกย้ายไปหมด สุภากับลูกก็ทิ้งเขาไป เพื่อนสนิทมิตรสหายก็ไม่มีใครแล้ว นทีรู้สึกหมดสิ้น เค้าเคยประสบความสำเร็จมากมาย พ่อคือเบื้องหลัง เหมือนเวทีให้นักแสดงอย่างเขา ถ้าเวทีพังไปแล้ว การแสดงไหนเลยจะสามารถเล่นได้
เขาขายทรัพย์สินทุกอย่างจนหมดสิ้นได้เงินมาก้อนหนึ่ง นทีเก็บตัวเงียบอยู่ในแฟลตโทรมๆ เขาไม่ทำอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาท้อแท้ เขาเกลียดเมื่อถึงวันใหม่ เขาเกลียดผู้คนที่ไม่จริงใจ และสำหรับเขา ไม่มีใครจริงใจ นอกจากพ่อ พ่อซึ่งทิ้งเขาไป คงไม่มีเช้าไหนที่จะสดใสสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

วันนี้

นทีลืมตาตื่นอีกทีในตอนสาย ร่างที่ประหนึ่งไร้วิญญาณลุกขึ้นมาจากเตียง เขาไม่รู้วันเวลา นาฬิกาบนหัวนอนของเขาสงบนิ่งมานานแล้ว
เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้เก่าๆตัวหนึ่ง เปิดลิ้นชักโต๊ะของเขา
มันเป็นรูปของพ่อและเขา มันเป็นสิ่งที่พ่อมอบให้เขาตอนที่เขากำลังสับสนตอนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ
เขาอ่านข้อความข้างหลังรูป เหมือนประโยคที่พ่อเคยพูด เขาน้ำตาไหล
"มันอยู่ในลิ้นชักนี้มานานแสนนาน กูไม่เคยหยิบมันขึ้นมาอ่านเลย"
นทีล้างหน้าล้างตาจนสะอาด มองตัวเองในกระจก
"กูยังหนุ่ม ยังมีความสามารถ กูต้องมั่นใจ กูเชื่อพ่อกู"
แต่งตัวใส่เชิ้ตเก่าๆที่พ่อเคยใส่และเขายังเก็บไว้อยู่ เขากำลังจะก้าวออกไปจากห้องพัก วันนี้เขาจะซื้อของไปทำบุญให้พ่อ แล้วไปสมัครงาน นทีวางรูปนั้นคว่ำหน้าไว้บนโต๊ะ เห็นเป็นลายมือของพ่ออย่างชัดเจน
"พ่อดีใจที่เห็นลูกพยายามด้วยตัวเอง ลูกต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง บาดแผลจะทำให้ลูกแข็งแกร่ง"
นทีลูบหัวเข่าที่มีแผลเป็นจากจักรยานล้มอย่างนุ่มนวล ก้าวออกไปจากห้องนั้นเพื่อรับพรจากธรรมชาติ ถึงตอนนี้จะสายไปหน่อยก็เถอะ
-จบ-

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550

บอล (The Unpredictable)

หลังจากได้เงินก้อนนั้นมาชีวิตของผมคงจะดีขึ้น ครอบครัวของเราน่าจะกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ดาคงจะไม่ด่าผมอีกแล้ว ลูกทั้งสองคงจะไม่ต้องฟังเราทะเลาะกัน ผมอยากให้ดาและลูกๆรักผมมากๆ ผมต้องการพวกเขา และผมพร้อมเสี่ยง

เงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนสุดท้ายของผมแล้ว ผมลงทุนกับหลายๆอย่างไปมากมายตั้งแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านกาแฟ ร้านขายของชำ และก็อะไรอีกมากมาย แต่ก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลก ผมยังไม่เคยประสบความสำเร็จ ไม่แน่ว่ามันอาจไม่ใช่เส้นทางของผม หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนคนหนึ่ง เขาเคยทำเงินได้มหาศาลกับสิ่งนี้ ผมจะลองดูบ้าง และด้วยเงินก้อนนี้ผมจะท้าดวลกับโชคชะตาอีกครั้งหนึ่ง กับลูกกลมๆที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตครอบครัวของเรา

หลังจากการลงทุนที่สำคัญที่สุดคราวนี้ได้ผ่านไป ผมกลับบ้าน วันนี้ผมใจเย็น ดา และลูกๆอยู่ที่บ้าน ผมคุยกับดาน้อยมาก เหมือนที่เป็นมานานในช่วงหลังๆนี้ ผมรู้ว่าดาเครียดกับเรื่องฐานะของเรา เราเครียดเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่เข้าใจกัน ดา และลูกๆ เข้านอนแล้ว นี่มันก็ตีหนึ่งครึ่งแล้ว สายตาของผมยังคงแข็งทื่อ เกิดอะไรขึ้นในใจของผม ความหวัง ความเครียด ความกังวล และความกลัวกำลังสับสนปนเปกันไปหมด อีกไม่ถึง 15 นาทีการเปลี่ยนแปลงของผมและครอบครัวก็จะเริ่มต้น
เบื้องหน้าของผมคือ ทีวี ผมเปิดมัน และเปลี่ยนไปตามช่องที่ผมต้องการ จ้องมองมันอย่างไร้ชีวิตชีวา 10 นาทีเศษที่กำลังจะมาถึง แม้จะอยากให้มันมาเร็วๆ แต่ก็กลัวในการมาของมัน ผมบอกตัวเองว่าต้องข่มใจให้ได้ มั่นใจในสิ่งที่ทำ โชคชะตาต้องเข้าข้างเราบ้าง
ช่วงเวลาที่รอคอยเพียงไม่กี่นาที ช่างยาวนานนัก ทีวีที่เปิดอยู่ไม่ได้เข้าไปในจิตใจผมเลย ผมเห็นภาพตอนผมจีบดา ตอนสมัยเราเรียนในมหาวิทยาลัย จีบอยู่นานจนกระทั่งเด็กสาววัยรุ่นคนนั้นเห็นใจ ดาน่ารัก นิสัยดี ดาเป็นห่วงผมมากตอนเรียน เธอจดงานให้ผม ติวให้ผม ผมรักเธอมาก ดาบอกว่าอยากอยู่กับผมตลอดไป เราแต่งงานกันอีก 5 ปีต่อมา นั่นก็หลังจากเรียนจบมาไม่นาน มโนภาพของผมตอนนี้คือลูกทั้งสองของเรา อาร์มเกิดหลังจากการแต่งงานของเรา 4 ปี ส่วน ส่วนวิวเพิ่งเกิดเมื่อปีที่แล้ว ทั้งสองเป็นเด็กที่น่ารักมาก ผมรักลูกๆจริงๆ ผมเห็นภาพเหล่านั้น ผมยิ้ม ผมกลัว
พลันก็เกิดเสียงที่หยุดมโนภาพทั้งมวลของผม
"สวัสดีครับ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่การถ่ายทอดสดการแข่งขันยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกนัดชิงชนะเลิศ ระหว่างเสือใต้บาเยิร์น มิวนิค กับปีศาจแดง แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ดครับ"
ผมจ้องที่หน้าจอทีวีอย่างไม่กระพริบตา
ชีวิตของผมกำลังฝากไว้กับนักเตะจากเยอรมันซึ่งเขาไม่เคยรู้จักผม แต่ผมรู้จักเขา และเชื่อเขา ฝ่ายตรงข้ามมาจากอังกฤษ ผมรู้ว่าพวกเขาคือใคร และรู้ด้วยว่าความสำเร็จของเขา คือความล้มเหลวที่จะทำลายชีวิตของเรา เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้บอลจิตใจผมเหมือนจะกังวลไปหมด ผมกลัว กลัวความสามารถของพวกนี้ ภาพหลอนในจิตใจ ผมน่าจะเชื่อพวกนั้น ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ที่เลือกบาเยิร์น
ตั้งแต่เป็นเด็กผมรักฟุตบอลมาก ผมชอบเล่น ชอบดูบอลมาก หลายครั้งที่ผมกับเพื่อนๆในต่างจังหวัดพากันไปเล่น และดูผู้ใหญ่แข่งขันกัน ผมมีความสุข และผ่อนคลายทุกครั้งที่อยู่กับลูกบอล
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อผมเลือกการเดิมพันกับสิ่งที่ผมรักเพื่อสิ่งที่ผมรัก พลันสิ่งๆหนึ่งก็เกิดขึ้น มันอาจจะเป็นสัญญาณที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของผม
"บาเยิร์นขึ้นนำแล้ว"
นักพากษ์บอกว่าเป็นการยิงประตูที่สุดสวย แต่ผมไม่ได้ชื่นชมกับความงามของมัน ผมสนแค่ตัวเลขคะแนน ตัวเลขคะแนนที่อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของผม 1-0 ผมกำลังจะได้เงิน ชีวิตของเรากำลังจะเปลี่ยนแปลง ดาคงจะไม่ต้องกังวลเรื่องต่างๆอีกต่อไปแล้ว ผมรักฟุตบอล ผมรักดา และลูกๆ มันเป็นการนำที่ยาวนาน และดูแล้วโชคชะตาคงจะเป็นของผม ผมจะมีเงินมากพอที่จะให้ครอบครัวเราอยู่กันอย่างมีความสุข ซื้อของขวัญซักชิ้นให้ดา สำหรับวันครบรอบแต่งงานในเดือนหน้า ซื้อของเล่นที่อาร์ม กับวิวอยากได้ ชีวิตเรากำลังจะเปลี่ยน เวลาของเกมใกล้หมดแล้ว เวลาที่ผ่านมาเหมือนมันนานนับปี เหนื่อย กังวล เครียด แต่ทุกๆสิ่งก็กำลังจะเลือนหายไปแล้ว
นาทีสุดท้ายของเกมนี้ …"แมนยูฯตีเสมอได้แล้วครับ!!"
ผมตะลึงงันกับลูกตีเสมอของแมนยู แต่บาเยิร์น ทีมที่ผมเดิมพันชีวิตด้วยไม่น่าจะแพ้ แต่แล้ว เมื่อการทดเวลาผ่านไป นาทีสุดท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ แมนยูฯยิงประตูชัยได้ ประตูชัยของศูนย์หน้าที่เป็นตัวสำรอง คนที่ผมไม่คาดคิด คะแนนที่ผมไม่คาดคิด ชีวิตที่แปรเปลี่ยนภายในเสี้ยววินาที นักเตะจากอังกฤษวิ่งไปฉลองกันกลางสนาม
จะมีใครรู้บ้างไหมว่าคนไทยคนหนึ่ง ณ มุมหนึ่งของเมืองหลวง กำลังจะหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ของขวัญ และของเล่น กับความเป็นอยู่อย่างสุขสบายหายไปกับเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต ถ้าดารู้ ดาอาจจะเลิกกับผมก็ได้ ชีวิตของเราคงจะย่ำแย่ ผมก้มหน้าลง น้ำตารินไหลออกมา เหมือนกับที่นักเตะ บาเยิร์นเสียน้ำตา สาเหตุเดียวกัน ต่างกันตรงผลลัพธ์
ผมปิดทีวี ผมไม่ต้องการเห็นการยินดีของผู้ชนะ หรือน้ำตาของผู้แพ้ ผมไม่ต้องการเห็นอะไรเลย ผมยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ทันใดนั้นมือนุ่มๆคู่หนึ่งก็โอบกอดผม
"ดา!!" หัวหน้าครอบครัวที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตาที่ริมเยิ้มบนหน้าหันไปหาภรรยาของเขาด้วยความตกใจ
ผมมองดา ผมเงียบ แต่ยังคงตะลึง
"ดารู้เรื่องทุกอย่างแล้วค่ะ ดาแอบดูคุณอยู่เงียบๆ"
"ผมเสียใจครับดา มันเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเราแล้ว" ดาเงียบ ไม่มีเสียงออกจากปากของเธอ แต่มันมีรอยยิ้ม
"ดาไม่ชอบการพนัน แต่คุณก็ทำเพราะรักครอบครัวของเรา คุณพยายามทำทุกอย่าง ดาเข้าใจ เราจะเริ่มต้นกันใหม่นะคะ เราจะช่วยกัน แล้วจะไม่ยุ่งกับการพนันอีก"
ผมฟังดา
ผมไม่พูดอะไร
มันเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ออกจากปากของดาตั้งแต่เรามีปัญหาเรื่องการเงิน ผมสวมกอดดา รักดาจริงๆ คืนนั้นไม่มีคำพูดใดๆอีกต่อไปแล้ว เรารักกันมาก ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม
เราขึ้นไปนอน ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง พรุ่งนี้ผมจะลองไปสมัครงาน แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมมองเหลียวหลังมาที่ทีวี ยิ้มให้กับมัน แล้วจากไป ชีวิตผมดีขึ้นแล้ว แม้ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุอย่างที่คิด แต่จะสนใจอะไรล่ะ โลกมันคาดเดาอะไรไม่ได้ มันก็กลมเหมือนลูกบอลนั่นแหละ
-จบ-

Winn On Youtube

Pedestrain On TV (บังเอิญมาก)